xs
xsm
sm
md
lg

“สตางค์” แนะทยอยเก็บ เน้นถือยาว คาดตลาดคริปโตเริ่มฟื้นตัวหลังตัวเลขเงินเฟ้อลด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สตางค์โปร” เผยบทวิเคราะห์การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลท่ามกลางกระแสการล่มสลายของตลาดคริปโต แนะนักลงทุนแบ่งไม้ทยอยเก็บตอนราคาลดลง แนะเน้นถือระยะยาวดีกว่า มองภาพ Bitcoin คาดทยอยปรับตัวฟื้นขึ้นหลังธนาคารกลางสหรัฐทยอยลดนโยบายอัตราดอกเบี้ยลง และวิกฤตเงินเฟ้อลดลงเริ่มคลี่คลายลง

นายปรมินทร์ อินโสม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และผู้ก่อตั้ง Satang ให้บริการกระดานเทรดสินทรัพย์ดิจิทัล กล่าวถึงภาพรวมตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลใขณะนี้ว่า สาเหตุที่ราคาบิทคอยน์ หรือ BTC ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ล่าสุด ณ เวลา 13.13 น. วันนี้ (14 มิ.ย.) ราคาดิ่งเหวไปแตะที่ 796,866.19 บาท/เหรียญบิทคอยน์ ขณะที่ Ethereum หรือ ETH ราคาลดลงไปอยู่ที่ 42,550.36 บาท / เหรียญ ETH ซึ่งปัจจัยหลักมาจากดัชนีตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ CPI ของเดือนพฤษภาคม ซึ่งสหรัฐฯประกาศออกมาสูงเกินกว่าที่คาดการณืไว้ที่ +8.6% โดยถือว่าซึ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี

นอกจากนี้ ปัญหาราคาพลังงานก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสุงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเมื่อ 2 เดือนก่อน อยู่ที่ประมาณ 100 – 110 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ขึ้นมาอยู่ที่ 105 – 120 เหรียญสหรัฐ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย จนทำให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้วันพุธที่ 17 มิถุนายน (หรือเช้าวัน พฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทย) เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ขณะที่นักวิเคราะห์ของ Barclay Bank มองภาพรวมการลงทุนว่าสถานการณ์เงินเฟ้อขณะนี้ อาจส่งผลให้ ธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง +0.75% ในการประชุมคืนวันพุธ 15 มิถุนายนที่จะถึงนี้

อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ประเมินว่าแนวโน้ม FED จะยังคงขึ้นที่ +0.5% ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะต้องจับตามองคือถ้อยแถลงของนาย jerome powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่มีต่อสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบ 40 ปีนี้ ว่า FED จะเดินหน้ามาตรการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และการใช้มาตรการมดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้

"ความวิตกกังวลของนักลงทุนต่อมาตรการของจีนที่เริ่มกลับมาใช้ข้อบังคับเรื่องการป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งกลับมาระบาดอีกครั้ง หลังจากประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งปัจจัยนี้ ส่งผลกระทบต่อความต้องการด้านอุปสงค์ หรือ Demand-side" นายปรมินทร์ กล่าว

อย่างไรก็ดี มุมมองด้าน Technical Chart ในช่วง 1 – 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห้นได้ชัดเจนว่าราคา ETH ปรับตัวเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 1,800 -2,000 เหรียฐสหรัฐ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลงมาทดสอบที่ 1,200 – 1,400 เหรียญสหรัฐ ได้ไม่ยากในเวลาอันใกล้ ส่วน BTC เองก็อาจจะปรับตัวลดลงไปสู่ระดับ 19,000 – 21,000 เหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลาอันใกล้นี้ และเมื่อทยอยฟื้นตัวกลับขึ้นมา อาจไม่เร็วและแรงเหมือนที่เกิดในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา

"ตลาดตอนนี้น่าลงทุนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นนักเทรดประเภทใด ถ้าเป็นสายทำกำไรก็อาจทำได้แต่ต้องระมัดระวังเรื่องการลงแบบซิกแซ็กขึ้น ๆ ลง ๆ ส่วนถ้าเป็นกลุ่มลงทุนระยะกลาง 1 – 3 เดือน การลงทุนใน Stablecoin ที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง ก็ยังพอให้ผลตอบแทนได้ ในท่ามกลางสภาวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขณะนี้ หากเป็นกลุ่มลงทุนระยะยาวหรือ DCA ก็สามารถที่จะซื้อเก็บได้ทุก ๆ 2 – 3 เดือน ไม่ถึงกับต้องนั่งเฝ้าซื้อเก็บทุกสัปดาห์"

ในขณะที่ นายสรัล ศิริพันโนน ซีอีโอ Satang Corporation กล่าวเสริมว่า แนวโน้มทิศทางขาลงของทั้ง BTCและ ETH อาจจัยังไม่สะเด็ดน้ำ จบสั้น จบเร็ว ในตอนนี้ เพราะทั้งมุมมองของ FED ขณะนี้ และ Technical Chart ยังไปช่วยหนุนขาลงอยู่ ซึ่งสิ่งที่พอจะช่วยนักลงทุนในการวิเคราะห์สถานการณ์ขณะนี้ได้คือ 1.ประเมินมุมมองการแก้ปัญหาของ FED ให้ออก ผ่านมุมมองการวิเคราะห์ที่เราหาได้ไม่ยากในบทวิเคราห์หรือสำนักข่าวเศรษฐกิจของต่างประเทศ แต่ทั้งนี้ก็ต้องถามตัวเองเสมอด้วยว่า บทวิเคราะห์ที่อ่านนั้น มองข้ามอะไรไปบ้าง ณ ตอนนี้ FED คงสนใจว่า เงินเฟ้อจะเป็นอย่างไรผ่าน CPI index หรือ ดัชนีราคาของผู้บริโภค และราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ 2.อ่านกราฟให้ออก แต่ไม่ใช่เชื่อกราฟอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ใช่แค่มอง technical chart ของ crypto เท่านั้น แต่ต้องมองไปที่สินค้ากลุ่มปัจจัยพื้นฐานด้วยไม่ว่าจะเป็นกราฟราคาน้ำมัน ว่าปรับตัวไปในทิศทางไหน แนวโน้ม OPEC จะเป็นอย่างไรด้วย เพราะถ้าตอนนี้ยังอยู่แถว 117 – 120 เหรียญสหรัฐ ยังคงมี trend ขาขึ้น ซึ่งสามารถขึ้นไปถึง 130 – 150 เหรียญสหรัฐ ได้ไม่ยาก

"แนวโน้มเงินเฟ้อจะยังคงสูงขึ้นไปอีกอย่างน้อยในช่วง 1 – 3 เดือนนี้แน่นอน ดังนั้น FED ก็ยังต้องออกมาตรการแก้ปัญหาเงินเฟ้ออย่างแข็งกร้าวต่อไป ด้วยเหตุนี้ตลาดขาลงของ crypto ก็คงยังไม่จบจริงในเวลา 1-2 เดือนนี้แน่นอน และถึงแม้ว่าจะเป็นขาลง ตลาดก็ไม่ได้วิ่งลงเป็นเส้นตรงดิ่งลงตลอดเวลา บางทีก็เป็นลักษณะวิ่งลงแบบซิกแซ็ก ดังนั้นนักลงทุนไม่ควรเทเงินทั้งหมดเข้าไปลงทุน หรือ All - in เพราะตลาดคริปโตเป็นสินทรัพย์เสี่ยงสูง นอกจากนี้ควรบริหารจัดการลงทุน allocation risk หรือการจัดการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตให้เหมาะสมด้วย" นายสรัล กล่าวทิ้งท้าย

นายปรมินทร์ อินโสม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และผู้ก่อตั้ง Satang

นายสรัล ศิริพันโนน ซีอีโอ Satang Corporation


กำลังโหลดความคิดเห็น