xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยเงินบาทเปิดตลาดที่ 34.90 ตลาดผันผวน-เก็งเฟดขึ้นดอกเบี้ยแรง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.90 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.81 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.80-35.00 บาท/ดอลลาร์ โดยตลาดการเงินผันผวนรุนแรงและอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง ซึ่งสะท้อนผ่านมุมมองของผู้เล่นในตลาด รวมถึงนักวิเคราะห์ที่เริ่มมองว่า เฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% ในการประชุมเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ หลังเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมออกมาสูงกว่าคาด

ทั้งนี้ ความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดได้กดดันให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างพากันเทขายสินทรัพย์ที่อ่อนไหวต่อการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ย/บอนด์ยิลด์ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคฯ รวมถึงหุ้นสไตล์ Growth อย่าง Tesla -7.1% Meta (Facebook) -6.4% Amazon -5.5% ทำให้ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงกว่า -4.68% ส่วนดัชนี S&P500 ก็ร่วงลง -3.88% เช่นเดียวกันกับในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ความกังวลแนวโน้มทั้งเฟดและ ECB อาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อยังคงกดดันให้ผู้เล่นในตลาดเทขายหุ้นเทคฯ เช่น Adyen -8.9% ASML -4.4% ทำให้ดัชนี STOXX600 ของยุโรปปรับตัวลดลงกว่า -2.41%

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าเงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนและมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้านในโซน 34.90-35.00 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดที่อาจหนุนให้นักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยขายสินทรัพย์เสี่ยง อย่างหุ้นไทยได้

ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทอาจอยู่ในโซนแนวต้านดังกล่าว เนื่องจากบรรดาผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์อยู่ อนึ่ง เราคงมองว่าเงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าทะลุระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ไปไกล หากตลาดการเงินไม่ได้เผชิญภาวะปิดรับความเสี่ยงสินทรัพย์ในฝั่ง EM Asia ที่รุนแรง ซึ่งเราคาดว่าจะเกิดขึ้นในกรณีที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการใช้มาตรการ Lockdown ในวงกว้างของจีน

ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราคงแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เช่น ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มมองว่า เฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง ทำให้คาดการณ์ Terminal Rate (จุดสูงสุดของดอกเบี้ยนโยบาย) ของเฟดนั้นปรับตัวสูงขึ้น หนุนให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พุ่งขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 3.38% ทั้งนี้ แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ทำให้บอนด์ยิลด์ระยะสั้น โดยเฉพาะบอนด์ยิลด์ 2 ปี ได้เร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 3.39% ทำให้ในบางช่วงบอนด์ยิลด์ 2 ปี ปรับตัวสูงกว่าบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือเกิด Inverted Yields Curve อีกครั้ง สร้างความกังวลให้ผู้เล่นในตลาด เนื่องจากในอดีตที่ผ่านภาวะ Inverted Yields Curve ระหว่างบอนด์ยิลด์ 2 ปี กับ 10 ปี มักเป็นสัญญาณว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจเกิดขึ้นในช่วง 1 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดี เรามองว่าภาวะ Inverted Yields Curve จากส่วนต่างบอนด์ยิลด์ 2 ปี กับ 10 ปี อาจไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก โดยสัญญาณที่มีความแม่นยำและชัดเจนกว่า ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อมูลที่เฟดติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ส่วนต่างระหว่างบอนด์ยิลด์ 3 เดือน กับ 10 ปี ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ที่ระดับกว่า 1.68% คิดเป็นโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 1 ปีข้างหน้าไม่ถึง 10% (ทั้งนี้เฟดยังได้ติดตาม Near-term Forward Spread ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างคาดการณ์บอนด์ยิลด์ 3 เดือนล่วงหน้า 18 เดือน กับบอนด์ยิลด์ 3 เดือนล่าสุด ซึ่งปัจจุบันส่วนต่างดังกล่าวยังสูงเกือบ 2.00%)

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 105.2 จุด ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) ที่พลิกกลับมาอ่อนค่าลงใกล้จุดอ่อนค่าสุดในปีนี้ที่ระดับ 1.041 ดอลลาร์ต่อยูโร เช่นเดียวกันกับเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ที่อ่อนค่าทำจุดต่ำสุดใหม่ในปีนี้ที่ 1.214 ดอลลาร์ต่อปอนด์ อย่างไรก็ดี ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดได้หนุนให้ผู้เล่นบางส่วนเข้าถือเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทำให้ค่าเงินเยนไม่ได้อ่อนค่าหนักและทรงตัวใกล้ระดับ 134 เยนต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำร่วงลงสู่ระดับ 1,821 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับวันนี้ ตลาดคาดว่าแนวโน้มการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจเยอรมนี อาจช่วยหนุนให้บรรดานักลงทุนและผู้เล่นในตลาดการเงินมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนี สะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Economic Sentiment) เดือนมิถุนายน ที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -26.8 จุด ดีขึ้นจาก -34.3 จุดในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจเยอรมนีจะยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงและกดดันการใช้จ่ายของผู้คนได้
กำลังโหลดความคิดเห็น