xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยเงินบาทเปิดตลาดที่ 34.11 รอประเมินรายงานการประชุมเฟด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS
ธนาคารกรุงไทย 
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.05-34.20 บาท/ดอลลาร์ จากค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.11 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.15 บาทต่อดอลลาร์ โดยความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอลงจนอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ได้กลับมากดดันตลาดการเงินอีกครั้ง หลังจากที่รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) เดือนพฤษภาคมของสหรัฐฯ อังกฤษ และยูโรโซน ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่อาจแย่ลง ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อสูงและแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลง หลังจากบริษัท Snap (เจ้าของแอปพลิเคชัน Snapchat) แสดงความกังวลต่อแนวโน้มผลประกอบการในอนาคต รวมถึงระบุว่าบริษัทอาจชะลอการจ้างงานเพื่อควบคุมต้นทุน เช่นเดียวกันกับ บริษัทค้าปลีกเสื้อผ้า Abercrombie & Fitch ที่ปรับลดคาดการณ์รายได้และกำไรลง ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อสูงที่อาจกดดันการใช้จ่ายของผู้คน

ขณะที่การแข็งเร็วของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มปรับมุมมองการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยในฝั่งผู้นำเข้าอาจรอจังหวะเงินบาทแข็งค่าใกล้ระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ หรือต่ำกว่านั้นในการเข้าซื้อเงินดอลลาร์ ส่วนผู้ส่งออกอาจเริ่มกลับเข้ามาขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทกลับมาอ่อนค่าใกล้ระดับ 34.30-34.40 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมเงินบาทอาจมีการขยับกรอบการเคลื่อนไหวมาสู่ช่วง 34.00-34.40 ในระยะนี้ นอกจากนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราคงแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เช่น ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าเงินบาทมีความเสี่ยงที่จะผันผวนและในระหว่างวันอาจอ่อนค่าได้บ้างหลังตลาดพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยง ทำให้นักลงทุนต่างชาติอาจกลับมาขายหุ้นไทยได้ อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ อาจเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนไม่ให้เงินบาทอ่อนค่าไปมากนัก

ทั้งนี้ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดได้กดดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหนัก โดยหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังคงเผชิญแรงขายจากความกังวลแนวโน้มผลประกอบการที่อาจแย่ลงต่อเนื่อง เช่น Facebook -7.6% Tesla -6.9% Alphabet (Google) -5.0% กดดันให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงกว่า -2.35% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.81% รีบาวนด์ขึ้นจากที่ปรับตัวลดลงหนักจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ โดยดัชนี S&P500 ยังได้แรงหนุนจากความต้องการซื้อหุ้นกลุ่มที่มีความได้เปรียบของ pricing-power อย่างหุ้นกลุ่ม Healthcare รวมถึงแรงซื้อหุ้น defensive อย่างกลุ่ม Utilities

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX50 พลิกกลับมาปรับตัวลง -1.64% กดดันโดยรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการที่ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนักและเลือกที่จะเทขายหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น L’Oreal -1.7% Louis Vuitton -1.6% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ เช่นเดียวกับฝั่งสหรัฐฯ นำโดย Adyen -6.9% ASML -2.3%

ในฝั่งตลาดบอนด์ ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวหนัก รวมถึงท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เช่น Esther George (Voting member), Raphael Bostic (Non-Voting member) ที่เริ่มออกมาระบุว่า เฟดอาจหยุดหรือชะลอการขึ้นดอกเบี้ยได้ หลังการเร่งขึ้นดอกเบี้ยราว 0.50% อีก 2 ครั้ง ได้ช่วยหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มการถือครองพันธบัตรรัฐบาล ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 2.76% อย่างไรก็ดี แนวโน้มบอนด์ยิลด์สหรัฐฯ ยังคงผันผวนต่อจนกว่าผู้เล่นในตลาดจะมีมุมมองที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น ซึ่งต้องรอจับตารายงานการประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ และ Dot Plot ใหม่ในการประชุมเดือนมิถุนายน

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลงสู่ระดับ 101.8 จุด แม้ว่าตลาดจะปิดรับความเสี่ยง แต่ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะถือสินทรัพย์ปลอดภัยอื่น อย่างค่าเงินเยนญี่ปุ่น พันธบัตรรัฐบาล หรือทองคำ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังคงถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินยูโร (EUR) สู่ระดับ 1.073 ดอลลาร์ต่อยูโร จากแนวโน้มธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจทยอยขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จนอัตราดอกเบี้ยกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 3 อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวลงของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำยังสามารถปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,865 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่าระดับดังกล่าวอาจเห็นผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรการรีบาวนด์ของราคาทองคำได้

สำหรับวันนี้ตลาดรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดผ่านรายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) โดยเฉพาะมุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ โอกาสในการเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.50% หรือ 0.75% รวมถึงคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) ที่ปัจจุบันตลาดได้มองไว้ราว 3.25%
กำลังโหลดความคิดเห็น