นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.36 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 34.26 บาทต่อดอลลาร์ โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.25-34.45 บาท/ดอลลาร์ และกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 34.10-34.70 บาท/ดอลลาร์ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดยังคงผันผวนหนักจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวหนัก และผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อสูงต่อผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน
ทั้งนี้ แนวโน้มของค่าเงินบาทยังมีทิศทางแกว่งตัว Sideways และผันผวนตามบรรยากาศในตลาดการเงิน โดยเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้ถ้าตลาดเปิดรับความเสี่ยงจากความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน (Correlation เงินบาทกับเงินหยวนสูงกว่า 78%) ทว่าเงินบาทอาจไม่แข็งค่าไปมาก เนื่องจากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่อาจไหลเข้าลดลง หลังจากที่สัปดาห์ก่อนหน้านักลงทุนต่างชาติได้ทยอยเข้าซื้อหุ้นและบอนด์ไปกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท (ซื้อสุทธิหุ้น 9.3 พันล้านบาท และบอนด์ 12.6 พันล้านบาท) ส่วนผู้นำเข้าต่างรอซื้อเงินดอลลาร์ในจังหวะเงินบาทแข็งค่าขึ้นอยู่ โดยเฉพาะในช่วง 34.20 บาทต่อดอลลาร์
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้นเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยลดการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) และหันมาถือเงินเยนญี่ปุ่นหรือทองคำแทน ทำให้เงินดอลลาร์อาจไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากหากตลาดปิดรับความเสี่ยง ยกเว้นในกรณีที่ตลาดปิดรับความเสี่ยงจากกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานการประชุมเฟดและถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ทั้งความเสี่ยงสงคราม ปัญหาการระบาดของโอมิครอนในจีน และความกังวลเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินเฟด เราแนะนำว่าผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เช่น Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่าท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว ตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ในฝั่งสหรัฐฯ รวมถึงยุโรป นอกจากนี้ รายงานการประชุมเฟดต้นเดือนพฤษภาคมจะเป็นที่จับตาของผู้เล่นในตลาดและอาจให้ภาพแนวโน้มนโยบายการเงินเฟดที่ชัดเจนมากขึ้นได้
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
ฝั่งสหรัฐฯ - ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ตลาดจะให้ความสำคัญต่อรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่อาจส่งสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ อย่างดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) โดยตลาดคาดว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมอาจขยายตัวในอัตราชะลอลง จากผลกระทบของปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงปัญหา Supply Chain สะท้อนจากดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพฤษภาคมที่อาจลดลงสู่ระดับ 57.8 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึงภาวะขยายตัว) ในขณะที่ภาคการบริการอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อสูงไม่มากนัก หนุนโดยตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่งและความสามารถในการชำระหนี้ที่ดี (Debt-Servicing to Income ratio อยู่ในระดับต่ำ น้อยกว่า 10%) โดยดัชนี PMI ภาคการบริการจะอยู่ที่ระดับ 55.3 จุด ส่วนเงินเฟ้อ PCE เดือนเมษายนอาจชะลอลงสู่ระดับ 6.2% ซึ่งอาจช่วยลดความกังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อได้บ้าง อย่างไรก็ดี ตลาดจะจับตารายงานการประชุมเฟด (FOMC Meeting Minutes) ในเดือนพฤษภาคมอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยนโยบายเฟด โดยเฉพาะมุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมถึงคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) ที่ตลาดมองไว้ราว 3.25%
ฝั่งยุโรป - ตลาดมองว่าผลกระทบจากสงครามที่สร้างปัญหาเงินเฟ้อสูงและปัญหา Supply Chain จะยังคงกดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจเยอรมนี สะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนี (Ifo Business Climate) ในเดือนพฤษภาคมที่จะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 91.4 จุด ต่ำกว่าความเฉลี่ยในช่วง 10 ปี ที่ระดับ 97.4 จุด นอกจากนี้ ตลาดจะรอประเมินภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการในเดือนพฤษภาคม โดยตลาดคาดว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอาจยังคงเผชิญแรงกดดันจากผลกระทบของสงครามและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงเศรษฐกิจโลก ทำให้ภาคการผลิตอาจขยายตัวในอัตราชะลอลง ชี้โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตที่จะลดลงสู่ระดับ 54.8 จุด จาก 55.5 จุด ในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ภาคการบริการอาจได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นบ้าง แต่โดยรวมยังคงฟื้นตัวได้ดี สอดคล้องกับรายงาน Google Mobility data ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนี PMI ภาคการบริการอาจลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 57.5 จุด
ฝั่งเอเชีย - ตลาดประเมินว่าการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนจะกดดันภาคการผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพฤษภาคมที่จะลดลงสู่ระดับ 52 จุด อย่างไรก็ดี การผ่อนคลายมาตรการ Lockdown จะช่วยหนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศคึกคักมากขึ้น ชี้โดยดัชนี PMI ภาคการบริการ เดือนพฤษภาคมที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51 จุด ทำให้โดยรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงโมเมนตัมการฟื้นตัวที่ดีอยู่ นอกจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดจะรอติดตามผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางในเอเชีย โดยตลาดมองว่า ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 2.00% ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจโดยรวมฟื้นตัวดีขึ้น เช่นเดียวกันกับธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ที่อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.75% หลังเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ส่วนธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.50% ทว่า BI อาจส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปหากเศรษฐกิจเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อ รวมถึงการอ่อนค่าของค่าเงินมากขึ้น โดยผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า BI อาจขึ้นดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนมิถุนายน
ฝั่งไทย - ตลาดคาดว่ายอดการส่งออก (Exports) ในเดือนเมษายนอาจโตราว +14.6%y/y ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่โตเกือบ 20% จากผลกระทบของสงคราม รวมถึงปัญหาการระบาดของโอมิครอนในจีน ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) จะโตกว่า +18%y/y จากราคาสินค้าต้นทุน/วัตถุดิบที่แพงขึ้น และการอ่อนค่าของเงินบาท ทำให้ดุลการค้ามีโอกาสขาดดุลได้