นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS
ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.70 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น
จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 34.78 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันที่ 12 พฤษภาคม) โดยคาดการณ์กรอบเงินบาทวันนี้จะอยู่ที่ระดับ 34.60-34.80 บาท/ดอลลาร์ และสัปดาห์นี้ที่ระดับ 34.40-34.90 บาท/ดอลลาร์ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาความผันผวนรุนแรงยังคงอยู่กับตลาดการเงิน จากความกังวลเฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายรุนแรงกว่าคาด และความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนัก
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทยังมีทิศทางผันผวนและอาจอ่อนค่าทดสอบแนวต้านสำคัญแถว 34.90 บาทต่อดอลลาร์ได้ หากตลาดยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง อย่างไรก็ดี หาก GDP ของไทยในไตรมาสแรกออกมาดีกว่าคาดมากอาจทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้าง จากมุมมองของผู้เล่นที่คาดว่า ธปท. อาจเริ่มส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นในการประชุมเดือนมิถุนายนได้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ทั้งความเสี่ยงสงคราม ปัญหาการระบาดของโอมิครอนในจีน และความกังวลเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินเฟด เราแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เช่น Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้นประเมินว่า เงินดอลลาร์ยังคงมีแรงหนุนอยู่จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย หากตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง ซึ่งตลาดอาจรอลุ้นถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดว่าส่วนใหญ่จะออกมาในทิศทางใด โดยหากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณสนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง ตลาดสามารถทยอยกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้บ้าง
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่าตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟดในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินเฟด นอกจากนี้ รายงานข้อมูล GDP ของไทยในไตรมาสแรกอาจส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อทิศทางนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เช่นกัน
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
ฝั่งสหรัฐฯ - ตลาดจะจับตาสัญญาณการบริโภคและการใช้จ่ายของคนอเมริกันผ่านรายงานข้อมูลยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนเมษายน ซึ่งตลาดคาดว่ายอดค้าปลีกอาจขยายตัวเพียง +0.5% จากเดือนก่อนหน้าชะลอลงจากที่โตได้กว่า 0.7% ในเดือนมีนาคม จากผลกระทบของราคาสินค้าโดยรวมที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่านอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ความต้องการบริโภคของผู้คนได้เปลี่ยนจากสินค้าสู่การบริการมากขึ้นอาจกดดันยอดค้าปลีกได้เช่นกัน นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ตลาดจะจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าเฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell ว่าจะมีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจหลังการทยอยขึ้นดอกเบี้ยอย่างไร โอกาสที่เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงมีมากน้อยขนาดไหน รวมถึงคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) ในรอบนี้
ฝั่งยุโรป - ตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะมุมมองการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ทิศทางเงินเฟ้อ และแนวโน้มนโยบายการเงิน ECB จากประธาน ECB Christine Lagarde หลังผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB อาจจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้เร็วกว่าที่เคยมองไว้ จากภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าพลังงาน หากยุโรปตัดสินใจคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ซึ่งต้องติดตามบทสรุปของมาตรการคว่ำบาตรของทาง EU ต่อรัสเซียในสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด
ฝั่งเอเชีย - ตลาดประเมินว่า ผลกระทบจากการระบาดโอมิครอนในไตรมาสแรกของปีนี้ จะกดดันให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัว -1.8% จากไตรมาสก่อนหน้าเมื่อเทียบเป็นรายปี อย่างไรก็ดี การทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown มีแนวโน้มที่จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทว่ายังคงต้องติดตามผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ และผลกระทบจากปัญหา Supply Chain Disruption ที่อาจกดดันภาคการค้าของญี่ปุ่นได้ อนึ่ง แม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะทยอยฟื้นตัว แต่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในเดือนเมษายนอาจเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 2.5% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลของการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าพลังงานและผลของการปรับลดค่าบริการโทรศัพท์มือถือในปีก่อนหน้า ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นยังคงไม่ได้มาจากความต้องการบริโภคที่สูงขึ้นเป็นหลัก ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป ส่วนในฝั่งฟิลิปปินส์ ตลาดมองว่าธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 2.25% หลังเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องและเงินเฟ้อล่าสุดได้ปรับตัวขึ้นทะลุกรอบของ BSP (2%-4%) และเงินเฟ้ออาจอยู่ในระดับสูงได้นาน อนึ่ง แม้ว่าหลายธนาคารกลางในฝั่งเอเชียอาจเริ่มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น แต่ตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) อาจยังคงต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อประคองการฟื้นตัวเศรษฐกิจ โดย PBOC อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย MLF ประเภท 1 ปีลงในระยะสั้นนี้ ซึ่งแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของ PBOC อาจทำให้บรรดาธนาคารพาณิชย์ต่างปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดี (LPR) โดยผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า PBOC จะประกาศ LPR (หลังรวบรวมจากบรรดาธนาคารพาณิชย์) ที่ลดลงสู่ระดับ 3.60% สำหรับ LPR 1 ปี และลดลงสู่ระดับ 4.55% สำหรับ LPR 5 ปี
ฝั่งไทย - ตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูล GDP ในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว +1.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดี หากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั้นออกมาดีกว่าคาดไว้มาก อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่เร็วขึ้นของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้บอนด์ยิลด์มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง ขณะเดียวกัน เงินบาทอาจชะลอการอ่อนค่าลงและกลับมาแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อย