CRC มั่นใจผลงานปีนี้โตก้าวกระโดดทะลุเป้าโต 15% จากแรงหนุนการเปิดประเทศ พร้อมอัดงบลงทุน 18,000 – 20,000 ล้านบาท เปิดศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ 3 แห่ง และเปิดธุรกิจรูปแบบใหม่ทุกไตรมาส ด้านโบรกเกอร์ เชียร์ "ซื้อ" เอเซียพลัส อัพเป้ากำไรปีนี้ขึ้นเป็น 6.6 พันลบ. และปรับรายได้เพิ่มเป็น 2.3 แสนลบ. จากเดิมแสนลบ. เหตุผลงานโค้ง2 ฟื้นตัวสูงกว่าคาด ขณะที่คิงส์ฟอร์ด มองยังมีปัจจัยหนุนจากร้านสะดวกซื้อ Family Martทีมีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เปิดเผยว่า ภาพรวมการเติบโตในปี 2565 มั่นใจจะทะลุเป้า 15% ตามที่ได้วางไว้ ด้วยงบลงทุนกว่า 18,000 – 20,000 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจของบริษัทเติบโตแบบ V-shape ตั้งแต่ไตรมาส 4/64 และยังคงโตต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 1/65 อย่างก้าวกระโดด และยังมีโมเมนตั้มที่ดีมาจนถึงไตรมาสที่ 2/65
" ปีนี้มีแผนที่จะเปิดศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ทั้งหมด 3 แห่ง รวมถึงเพิ่มร้านค้า และเปิดตัวธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ทุกไตรมาส ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มอีกหลายพันตำแหน่ง และด้วยแรงหนุนจากการเปิดประเทศจะยิ่งเป็นผลดีต่อการเติบโตมากขึ้นไปอีก โดยเห็นได้จากในช่วงวันหยุดยาวหลายช่วงที่ผ่านมา ยอดขายและทราฟฟิกทุกกลุ่มธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกช่องทาง ทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ และออมนิแชแนล" นายญนน์ กล่าว
ทั้งนี้บริษัทได้มีการปรับฐานลูกค้าให้เปลี่ยนจากช้อปปิ้ง Single Channel มาเป็นลูกค้า Omnichannel ทำให้ปัจจุบัน มีฐานลูกค้าที่เป็น Omni Customer หลายล้านคน โดยสร้างความพึงพอใจและประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า จากนี้ เซ็นทรัล รีเทล จะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้ากลยุทธ์หลัก CRC Retailligence อย่างเต็มที่ ซึ่งประกอบด้วย
1. Reinvent Next-Gen Omni Retail – ยกระดับแพลตฟอร์มออมนิแชแนลโดยใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลใหม่ ๆ ในทุกกลุ่มธุรกิจ
2. Accelerate Core Leadership – เร่งการขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจหลัก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
3. Build New Growth Pillars – เดินหน้าสร้างธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็นไปตามเทรนด์ของโลกและความต้องการของผู้บริโภค
4. Drive Partnership, Acquisition and Spin Off –ขยายธุรกิจภายใต้แนวคิด Inclusive Growth สร้างความสำเร็จร่วมกันกับพาร์ทเนอร์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันที่โควิด-19 เข้าสู่ช่วงขาลง ทำให้ประชาชนเริ่มคลายกังวล และกล้าที่จะกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการที่ภาครัฐออกนโยบายการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการยกเลิกระบบ Test & Go และเตรียมประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ถือเป็นสัญญาณบวกที่เรียกคืนความเชื่อมั่น และทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาคึกคัก โดยบริษัท จะมีส่วนร่วมในการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้พลิกฟื้นและกลับมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
ASPS อัพเป้ากำไร-รายได้เพิ่ม คาดปีนี้ฟื้นแรง แนะนำซื้อ
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ของ CRC ขึ้นจากเดิม 4% เป็น 6.6 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 11,091% จากปีก่อน (เติบโตสูงสุดในหุ้นกลุ่มเดียวกัน) มีสาเหตุหลัก จากผลการดำเนินงานไตรมาส 2/65 ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวสูงกว่าที่คาดไว้เดิม ประกอบกับ SSSG ของธุรกิจอาหารกลับมาฟื้นตัวจากฐานต่ำได้แล้ว
นอกจากนี้ ยังคาดว่า จะเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น หลังรัฐบาลยกเลิกมาตรการ Test&Go ตั้งแต่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจะกระตุ้นรายได้ในประเทศ และ ช่วยให้ประชาชนกลับมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ประกอบกับ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) จะปรับตัวขึ้นจากปีก่อนที่มีฐานต่ำอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จึงปรับรายได้ปี 65 ของ CRC ขึ้นเป็น 2.3 แสนล้านบาท (เดิมคาด 1 แสนล้านบาท) จากการปรับเพิ่มรายได้จากห้างสรรพสินค้าขึ้นอีก 1.7% เป็น 2.06 แสนล้านบาท สาเหตุหลักมาจากร้านค้ารูปแบบใหม่ (GO! WoW และ GO! Power) ซึ่งเป็นร้ายขายของจิปาถะ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่จะเปิดใหม่ในปีนี้ราว 90 สาขา
ส่วน รายได้ค่าเช่าพื้นที่ ปรับขึ้นจากเดิมอีก 2.5% เป็น 2.5 หมื่นล้านบาท จากอัตราการเช่าพื้นที่ และ การให้ส่วนลดพื้นที่เช่าที่ทำได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับ ปรับอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นเป็น 25.8% จากการปรับสัดส่วนการขายสินช้าแฟชั่นที่มีมาร์จิ้นสูง เพิ่มขึ้น
ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า ภายใต้ประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ที่เราปรับขึ้นใหม่ ส่งผลให้ราคาเหมาะสมของ CRC ถูกปรับขึ้นด้วยเช่นกัน โดยล่าสุดอยู่ที่ 40.75 บาท/หุ้น ซึ่งยังมีอัพไซด์ราว 13% เมื่อเทียบกับราคาเหมาะสมของฝ่ายวิจัย ประกอบกับ ผลการดำเนินงานปีนี้ คาดฟื้นตัวแรงทุกไตรมาส จึงยังคงแนะนำซื้อ
คิงส์ฟอร์ด คาดผลงานโค้ง 2 ฟื้นแรง
บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/65 ของ CRC ยังมีแนวโน้มฟื้นแรงอย่างต่อเนื่อง เทียบกับปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 471 ล้านบาท เพราะได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เข้มงวด ซึ่งการเติบโตในงวดไตรมาส 2/65 มีปัจจัยหนุนสำคัญจากร้านสะดวกซื้อ (Family Mart) มีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ตามการเดินทางที่ฟื้นตัว
นอกจากนี้ ยังประเมินว่า ธุรกิจของ CRC ในประเทศเวียดนามช่วงไตรมาส 2/65 ยังจะได้รับอานิสงส์จากเงินบาทที่อ่อนค่า เมื่อเทียบกับเงินดองของเวียดนามอีกด้วย
อีกทั้งหุ้น CRC ณ ปัจจุบัน ยังมีความน่าสนใจเข้าสะสม สะท้อนจาก CRC เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์มาก จากมาตรการเปิดเมือง สะท้อนจากผลการดำเนินงานที่เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/64 ขณะที่ การฟื้นตัวยังมีแนวโน้มต่อเนื่องไปตลอดทั้งปี 65 โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 2-3/65 ที่จะได้แรงหนุนจากฐานกำไรปีก่อนอยู่ในระดับต่ำ
ส่วน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/65 ของ CRC มีแนวโน้มเติบโตในอัตราเร่งต่อเนื่อง สะท้อนจาก SSSG ตั้งแต่ต้นไตรมาส 2/65 (QTD) เติบโตขึ้นราว 20% จากปีก่อน สาเหตุหลัก เป็นเพราะ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ลดความเข้มงวดเร็วกว่าคาด ส่งผลให้ทุกธุรกิจของ CRC ฟื้นตัวอย่างโดดเด่น