หุ้นไทยปิดตลาดร่วง -15.26 จุด โบรกฯ ชี้นักลงทุนในตลาดกังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อาจมาเร็วกว่ากำหนดและต่อเนื่องหลังการประชุมต้น พ.ค.นี้ ตลอดจนสูงกว่าปริมาณเดิมที่ประเมินไว้ ซึ่งจะส่งผลต่อ Real Bond Yield ที่จะพลิกกลับเป็นบวกทำให้เกิดแรงขายสินทรัพย์เสี่ยง ตลอดจนราคาน้ำมันที่เข้ามาสร้างแรงกดดันแทรก แนะติดตามผลประกอบการ บจ.ไตรมาส 1/65 โดยประเมินแนวต้านที่ 1,685-1,690 จุด และแนวรับที่ 1,660-1,665 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 25 เมษายน 2565 ปรับตัวลดลง -15.26 จุด หรือ -0.90% โดยปิดตลาดที่ 1,675.33 จุด มูลค่าการซื้อขาย 71,362.14 ล้านบาท โดยภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีแกว่งตัวเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวันตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,683.06 จุด และปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,672.99 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้น จำนวน 475 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง จำนวน 391หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลง จำนวน 1,337 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +3,347.56 ล้านบาท ในทางกลับกัน พบว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -2,763.91 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิกว่า -319.67 ล้านบาท และบัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -263.97 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,128.18 ล้านบาท ปิดที่ 151.00 บาท ลดลง 2.50 บาท
2.FORTH มูลค่าการซื้อขาย 2,035.54 ล้านบาท ปิดที่ 51.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท
3.BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,627.94 ล้านบาท ปิดที่ 11.60 บาท ลดลง 0.30 บาท
4.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,611.18 ล้านบาท ปิดที่ 144.50 บาท ลดลง 1.50 บาท
5.THG มูลค่าการซื้อขาย 1,591.27 ล้านบาท ปิดที่ 88.50 บาท ลดลง 10.50 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.JMT ปิดที่ 84.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท หรือ 3.35%
2.AP ปิดที่ 11.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 1.75%
3.CENTEL ปิดที่ 44.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 2.33%
4.MART ปิดที่ 61.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือ 1.23%
5.TVO ปิดที่ 31.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือ 2.42%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.SCBB ปิดที่ 73.00 บาท ลดลง 10.25 บาท หรือ 12.31%
2.SCC ปิดที่ 358.00 บาท ลดลง 4.00 บาท หรือ 1.10%
3.AEONTS ปิดที่ 190.00 บาท ลดลง 3.00 บาท หรือ 1.55%
4.KBANK ปิดที่ 151.00 บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 1.63%
5.MTC ปิดที่ 48.50 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 3.96%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,247.69 จุด ลดลง -24.97 จุด หรือ -1.10% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 983.07 จุด ลดลง -12.73 จุด หรือ -1.28% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 685.25 จุด ลดลง -3.65 จุด หรือ -0.53%
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ตอบรับความกังวลธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงขึ้นในการประชุมครั้งต่อไปจากเดือน พ.ค.นี้ โดยคาดว่า มิ.ย.นี้อาจปรับขึ้นได้ถึง 0.75% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง (Real Bond Yield) กลับมาเป็นบวก เป็นปัจจัยกดดันให้มีการขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา ประกอบกับ เงินบาทอ่อนค่าอย่างมาก ทำให้ Fund Flow ไหลออก และราคาน้ำมันปรับลดลงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ดี แนวโน้มพรุ่งนี้คาดว่ามีโอกาสรีบาวนด์ได้บ้าง และอาจแกว่งตัวไซด์เวย์ในกรอบแคบๆ หลังจากวันนี้ปรับลงไปค่อนข้างมากแล้ว แต่ยังคงมีแรงกดดันจากปัจจัยเรื่องทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจเริ่มเห็นการชะลอตัวหลังจากธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์ GDP ลง
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนติดตามการทยอยประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/65 อย่างต่อเนื่อง โดยประเมินกรอบการลงทุนแนวต้านที่ 1,685-1,690 จุด และแนวรับที่ 1,660-1,665 จุด