FPIT เดินหน้าลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออุตฯ วางเป้างบลงทุนปีละ 10,000 ล้านบาท เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ "น่านน้ำสีม่วง" เร่งขยายส่วนแบ่งตลาดผ่านการขยายพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มเป็น 4 ล้านตร.ม.ภายในปี 68 คาดไม่เกิน 5 ปี ส่วนแบ่งตลาดไต่สู่ระดับ 60% เผยนักลงทุนจากจีน มองหาประเทศเป็นกลางตั้งฐานการผลิตใหม่ วางเป้าจีนไหลมาใช้พื้นที่อุตฯ ของ FPIT เพิ่มเป็น 10%
นายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ FPIT กล่าวถึงทิศทางธุรกิจของบริษัทฯ ว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มผลิตสินค้ามากขึ้น หลังจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พื้นที่อุตฯ หยุดการผลิต เกิดอาการช็อก ท่าเรือปิดกันไปหมด แต่ปีที่ผ่านมาเริ่มดีขึ้น ขณะที่เรื่องความขัดแย้งมีส่วนทำให้ประเทศไทยมีความชัดเจนในด้านของการมาตั้งฐานการผลิต
โดยในแผน 5 ปี บริษัทฯ ได้กำหนดงบลงทุนถึง 50,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 10,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนโควิดใช้งบลงทุนแค่ 1,000-2,000 ล้านบาท แต่ปีนี้เรากล้าเติบโต ลงทุนปีละ 10,000 ล้านบาทในการเข้าไปลงทุนในการพัฒนาพื้นที่คลังสินค้า รองรับความต้องการของธุรกิจและอุตฯ ที่เติบโตขึ้น ขณะที่ตัวเลขรายได้ใน 5 ปีข้างหน้าถึง 7,000 ล้านบาท
สำหรับในปี 2565 บริษัทฯ สานต่อความสำเร็จของกลยุทธ์ "น่านน้ำสีม่วง" ที่ขับเคลื่อนธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และเพิ่มขีดสามารถขององค์กรเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงหลังยุคโควิด-19 โดยบริษัทฯ มีแผนจะลงนามสัญญาพัฒนาอาคารอุตสาหกรรมใหม่ พื้นที่รวมกว่า 200,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) และยังมีลูกค้าในไปป์ไลน์ที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาอีกจำนวนมาก เนื่องจากความต้องการใช้พื้นที่อาคารโลจิสติกส์และอุตฯ กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ FPIT เตรียมเปิดตัวเมกะโปรเจกต์อีก 2 โครงการ ได้แก่ เมืองอุตฯ ขนาดใหญ่ และโลจิสติกส์-บิสิเนสปาร์กขนาดเล็กใกล้เมือง ซึ่งจะกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต
ปัจจุบัน พอร์ตโฟลิโออาคารอุตฯ ของ FPIT มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย โดยมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการรวมทั้งสิ้น 3.1 ล้าน ตร.ม. ครอบคลุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย FPIT ได้ตั้งเป้าขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการรวมสู่ 4 ล้าน ตร.ม. ภายในปี 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากระดับ 45% เพิ่มเป็น 60% ในระยะ 5 ปีข้างหน้า
นอกจากการลงทุนในประเทศไทยแล้ว FPIT ยังมีการลงทุนในประเทศเวียดนาม ซึ่งในปีนี้ จะเปิดโครงการในเฟส 2 ในประเทศเวียดนาม เพิ่มเติมอีก 7 แสน ตร.ม. ทำให้มีพื้นที่รวมกว่า 1 แสน ตร.ม ส่วนในประเทศอินโดนิเซีย มีพื้นที่ให้บริการรวมกว่า 1.5 แสน ตร.ม.
สำหรับแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตจากต่างประเทศมาไทยนั้น นายโสภณ กล่าวว่า แม้ปัจจุบันลูกค้าหลักของ FPIT จะเป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น และมีกลุ่มลูกค้าจากประเทศจีนในสัดส่วนไม่ถึง 5% ซึ่งจากแนวโน้มเรื่องเทรดวอร์ในช่วงที่ผ่านมา เรื่องโควิด และปัญหาเรื่องสงครามที่เกิดขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่า ปีนี้ลูกค้าจากประเทศจีนจะกลับมาแรง โดยเราได้วางเป้าจะมีลูกค้าไหลเข้ามาใช้พื้นที่ของ FPIT ถึงระดับ 10%
“FPIT มั่นใจว่าธุรกิจอาคารอุตฯ หลังยุคโควิด โดยเฉพาะคลังสินค้าจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นหัวใจของธุรกิจการค้าระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค ทำให้บริษัทต้องเร่งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในระยะสั้นเพื่อให้สามารถตอบรับกับความต้องการใหม่เหล่านี้ และต้องสามารถสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว”