"สิงห์ เอสเตทฯ" ผู้นำในธุรกิจอสังหาฯ ครบวงจร เดินหน้าสร้างแอสเสทที่มีคุณภาพ วางเป้า 5 ปี ลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาท ปรับพอร์ตหันมาเน้นตลาดที่อยู่อาศัยสัดส่วนถึง 60% พร้อมเก็บเกี่ยวรายได้ธุรกิจโรงแรมในอังกฤกษและมัลดีฟส์ หลังท่องเที่ยวพลิกฟื้นเร็ว เผยความสำเร็จกลยุทธ์ปี 65 ดันรายได้พุ่งเท่าตัว ทำนิวไฮแตะ 1.34 หมื่นล้าน เร่งหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รับเมกะเทรนด์ สร้างซินเนอร์จีธุรกิจเชื่อมพันธมิตร ตั้งเป้า 5 ปี หนุนรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 25%
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตทได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์กระจายการลงทุน เพื่อสร้างความหลากหลายใน 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ ในปี 2565 นี้ เราจึงมีแผนในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านรายได้และการเงินอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการต่างๆ รวมถึงโครงการร่วมทุนกับพันธมิตร และการนำทรัพย์เข้ากองเอส ไพรม์ โกรท หรือ SPRIME โดยเราคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากผลงานในปี 2564 ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 7,739 ล้านบาท อีกเกือบเท่าตัว โดยตั้งเป้าเป็นนิวไฮอยู่ที่ 13,400 ล้านบาท
"ด้วยกลยุทธ์กระจายการลงทุนเพื่อสร้างความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้สิงห์ เอสเตท สามารถสร้างการเติบโตได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยรายได้ 13,400 ล้านบาทจะมาจากธุรกิจที่อยู่อาศัย 25% ธุรกิจอาคารสำนักงาน 8% ธุรกิจโรงแรม 63% และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและอื่นๆ 4%"
เก็บเกี่ยวรายได้จากยอดโอนคอนโดฯ-บ้านหรู
ธุรกิจที่อยู่อาศัยตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 50% ในปีนี้ จากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดพร้อมอยู่ 2 โครงการ ได้แก่โครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (The ESSE at Singha Complex) และดิ เอส อโศก (The ESSE Asoke) คาดรับรู้รายได้จากยอดโอนของคอนโดฯ ประมาณ 900 ล้านบาท รวมไปถึงโครงการบ้านแนวราบ "สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส" ซึ่งมีมูลค่ายอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 2,600 ล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ตามงวดการก่อสร้างในปีนี้ประมาณ 70% นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดโครงการแนวราบเพิ่มอีก 1 โครงการในทำเลพัฒนาการในช่วงครึ่งหลังของปี มูลค่า 2,900 ล้านบาท มูลค่าต่อหลังประมาณ 50-80 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้ทันในไตรมาส 4 ของปีนี้
ธุรกิจอาคารสำนักงาน กลางปีนี้จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโครงการเอส โอเอซิส (S OASIS) ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานพร้อมพื้นที่รีเทลแห่งใหม่ล่าสุดย่านลาดพร้าวด้วยพื้นที่รวม 55,700 ตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าว่าจะมีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy rate) ราว 50% ณ ปีที่เปิดให้บริการ รวมถึงการกลับมาเปิดตัวอีกครั้งของโครงการ เอส เมโทร (S METRO) อาคารสำนักงานหรูย่านพร้อมพงษ์ หลังจากซื้อโครงการมาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
แอสเสทโรงแรมในอังกฤษ-มัลดีฟส์ พลิกกลับมีรายได้เติบโต
ธุรกิจโรงแรมเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึงประมาณ 88% สร้างรายได้แตะ 8,500 ล้านบาท ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ประกอบการโรงแรมไทยที่มียอดรายได้สูงขึ้นเป็นอันดับที่ 2 อันเป็นผลมาจากกลยุทธ์การทำธุรกิจแบบกระจายความเสี่ยง (Well-diversified portfolio) ผ่านการมีโรงแรมในเครือที่ตั้งอยู่ในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก กระจายอยู่ใน 5 ประเทศ โดยเฉพาะพอร์ตในสหราชอาณาจักรและมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวเร็วที่สุดของโลก ทั้งนี้ ธุรกิจโรงแรมยังมีโอกาสเติบโตได้อีก หากภาคการท่องเที่ยวและโรงแรมในไทยสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้นในช่วงท้ายของปี 2565
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาโครงการโรงแรมในเครือที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพิ่มรูปแบบการให้บริการเพื่อกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย เช่น จะมีการลงทุนปรับปรุงโรงแรมในประเทศอังกฤษเพิ่ม 500 ล้านบาท การเพิ่มห้องพักแบบพูลวิลล่าในรีสอร์ตที่มัลดีฟส์ เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง ตลอดจนการปรับสมดุลพอร์ตผ่านกลยุทธ์หมุนเวียนและต่อยอดการลงทุน (Asset Rotation) ที่จะยกระดับการให้บริการรวมถึงอัตราราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวันสูงขึ้นได้ราว 10-20% ซึ่งคาดว่าโรงแรมในเครือที่มีการปรับปรุงใหม่แล้วเสร็จ จะสามารถสร้างผลกำไรที่เพิ่มขึ้น (EBITDA) ได้ถึงกว่า 40%
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในปี 2565 มีความพร้อมในการรับรู้รายได้จากการขายและโอนที่ดินเป็นปีแรก หลังจากที่ได้มีการเข้าไปลงทุนและปรับพื้นที่และก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานไปแล้วในปี 2564 ทั้งนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าโอนที่ดินในปีนี้ราว 15% ของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม หรือประมาณ 150 ไร่ เฉลี่ยไร่ละ 3.5 ล้านบาท ในพื้นที่ขายรวมราว 992 ไร่ ซึ่งคิดเป็น 50% ของการลงทุนในนิคมฯ จำนวน 2,000 ไร่
กางแผน 5 ปีตั้งงบลงทุน 50,000 ล้านบาท
นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน (CFO) บริษัทสิงห์ เอสเตทฯ กล่าวถึงแผนการลงทุนใน 5 ปีว่า ต้องย้อนกลับไปช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจโรงแรมทั้งในประเทศสหราชอาณาจักรและในมัลดีฟส์ ซึ่งปัจจุบัน แอสเสทโรงแรมที่มีอยู่ประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท สร้างรายได้ให้บริษัทฯ โดยทิศทางใน 5 ปีข้างหน้า ตั้งงบลงทุน 50,000 ล้านบาท ประมาณ 60% เน้นในธุรกิจที่พักอาศัย โดยเฉพาะในปี 65 ตั้งงบไว้ 11,000 ล้านบาท จะเป็นธุรกิจที่พักอาศัยประมาณ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดิน 4,000 ล้านบาท และงบลงทุนในโครงการ 2,000 กว่าล้านบาท
งบลงทุน 1,500 ล้านบาท ในการพัฒนาโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้ว เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจโรงแรมที่อยู่ในต่างประเทศ ลงทุนในธุรกิจอาคารสำนักงานประมาณ 1,000 ล้านบาท และอีก 1,500 ล้านบาทจะเป็นส่วนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม
เพิ่มมูลค่าพอร์ตกองทุน REIT อีก 6,000 ล้านบาท
นางฐิติมา กล่าวว่า ที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท ได้มีการประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจต่างๆ เพื่อขยายศักยภาพในการลงทุนและการพัฒนาโครงการในทุกพอร์ตธุรกิจ เช่น การร่วมทุนกับฮ่องกง แลนด์ เพื่อขยายฐานลูกค้าต่างชาติ และพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับอัลติเมทลักชัวรี อย่าง ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE SUKHUMVIT 36) มูลค่ากว่า 5,900 ล้านบาท การร่วมทุนกับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำอย่าง วาย อีโค เวิลด์ ดีเวลลอปเปอร์ จำกัด (WEWD) เพื่อพัฒนาโครงการรีสอร์ตแห่งใหม่พร้อมวิลล่าหรู 80 หลัง “โซ/มัลดีฟส์” (SO/MALDIVES) ที่จะเติมเต็มรีสอร์ตชั้นนำอีก 2 แห่ง สนับสนุนให้โครงการ “ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์” (CROSSROADS MALDIVES) ตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลายได้ในทุกช่วงราคา
นอกจากนี้ สิงห์ เอสเตท ยังวางแผนให้เช่าระยะยาวอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกระดับพรีเมียมของบริษัท 3 อาคาร ประกอบด้วย สิงห์ คอมเพล็กซ์ เอส เมโทร และพื้นที่ค้าปลีก ซันทาวเวอร์ส แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) รวมมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์บริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ ที่จะมีการ Recycle Capital สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน รองรับการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะดันให้ SPRIME ขึ้นแท่นเบอร์ 1 กองทรัสต์ประเภทอาคารสำนักงาน
ช่วงปลายปี 2564 สิงห์ เอสเตท ได้เข้าลงทุนในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน โดยถือหุ้น 30% ในบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 1 จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประเภทพลังความร้อนร่วม ด้วยกำลังผลิต 123 เมกะวัตต์ และปี 2565 นี้ บริษัทฯ จะสามารถรับรู้ผลประกอบการของโรงไฟฟ้าเต็มปีเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมลงทุนกับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 2 จำกัด และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 3 จำกัด เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมอีก 2 แห่งด้วยกำลังการผลิตรวม 280 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้าทั้ง 2 โรงจะสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าได้ในปี 2566
สร้างซินเนอร์จีใน 4 กลุ่มธุรกิจหนุนเติบโตอย่างยั่งยืน
นางฐิติมา ยังได้เผยถึงวิสัยทัศน์และทิศทางการดำเนินธุรกิจของ สิงห์ เอสเตท ใน 5 ปีนี้ โดยพุ่งเป้าไปที่การสร้างซินเนอร์จีใน 4 กลุ่มธุรกิจ เชื่อมโยงสู่โอกาสและการต่อยอดทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในปัจจุบัน
"เพื่อให้สิงห์ เอสเตท สามารถก้าวไปเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแถวหน้าของประเทศไทย ที่ผนึกกำลังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง เราจึงได้ทำการศึกษาเทรนด์ด้านธุรกิจและวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไปหลังจากที่เราอยู่กับยุคนิว นอร์มอลมากว่า 2 ปี และมองเห็นโอกาสและการสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่จะทำให้เราสามารถเสริมศักยภาพให้พอร์ตธุรกิจของเราในอนาคต ขณะเดียวกัน เราจะใช้ประโยชน์จาก 4 กลุ่มธุรกิจในการสร้างให้เกิดธุรกิจร่วมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้พอร์ตของเรา และการเติบโตในครั้งนี้เราจะไม่เดินคนเดียว การทำงานกับพันธมิตรในธุรกิจร่วมทุนทำให้เห็นถึงผลสำเร็จแบบวงกว้าง เราจึงกำลังอยู่ในระหว่างมองหาโอกาสในการร่วมมือกับพันธมิตรแขนงต่างๆ เพื่อให้เราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และเสริมสร้างความแตกต่างที่ดีที่สุดให้บริษัทฯ ได้ โดยเราคาดว่าความพยายามดังกล่าวจะผลักดันให้เราสามารถขยายการเติบโตทางธุรกิจภายใน 5 ปีข้างหน้าเฉลี่ย 25% ต่อปี" นางฐิติมา กล่าว