บ้านปูตั้งงบลงทุนปีนี้ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐลงทุนใน 3 ธุรกิจหลัก จ่อซื้อแหล่งก๊าซฯ เพิ่มในสหรัฐฯ และขยายธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ตั้งเป้ายอดขายถ่านหินปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 42-43 ล้านตัน/ปี ดันรายได้ในปี 65 โตต่อเนื่อง ตามทิศทางราคาก๊าซฯ และถ่านหินพุ่ง
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ที่ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการลงทุนใน 3 ธุรกิจหลัก คือธุรกิจแหล่งพลังงาน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่พอร์ตพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานที่สอดคล้องกับเทรนด์พลังงานในอนาคตได้รวดเร็วและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
โดยกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ทางด้านธุรกิจเหมือง จะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุนเพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มสูงสุด ตลอดจนศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนธุรกิจแร่แห่งอนาคต (Strategic Minerals) เพื่อต่อยอดการเติบโตของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน เช่น แร่นิกเกิล แร่ลิเทียม ฯลฯ สำหรับธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ก็อยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อแหล่งก๊าซฯ ใหม่ในสหรัฐฯ คาดว่าจะได้เห็นการลงทุนภายในปีนี้ เพื่อเพิ่มการผลิตก๊าซฯ ให้มากขึ้นสอดรับสถานการณ์ราคาก๊าซฯ เพิ่มสูงขึ้นจากที่ผลิตอยู่ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน รวมทั้งมองโอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจกลางน้ำและธุรกิจผลิตพลังงานที่สามารถส่งเสริมและต่อยอดธุรกิจต้นน้ำที่มีอยู่
กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ที่ตั้งงบลงทุนไว้ 700 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ จะใช้ในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน 400 ล้านเหรียญสหรัฐและธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะแสวงหาโอกาสการลงทุนในโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (High Efficiency, Low Emissions: HELE) สำหรับในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน จะมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดจากโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว รวมทั้งให้ความสำคัญต่อโครงการโรงไฟฟ้าให้สามารถเปิดดำเนินการได้ตรงตามระยะเวลากำหนด และขยายการลงทุนไปสู่ตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงทั้งในสหรัฐอเมริกา และภูมิภาคเอเชีย
สำหรับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน มุ่งสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Scale Up) ให้พอร์ตโฟลิโอเทคโนโลยีพลังงาน โดยขยายขอบเขตการให้บริการด้านพลังงานที่มีอยู่ ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า การผลิตแบตเตอรี่ การจัดการพลังงานและของเสีย (Energy and Waste Management) ควบคู่กับการเข้าลงทุนและพัฒนาบริการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานรูปแบบใหม่ รวมทั้งสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลในการสร้างพลังร่วมระหว่างธุรกิจเดิมกับธุรกิจใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานในอนาคต
นางสมฤดีกล่าวว่า ธุรกิจถ่านหินในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายการผลิตที่ 40 ล้านตัน/ปี และจะซื้อถ่านหินจากแหล่งอื่นเพิ่มเติมเพื่อนำมาผสมให้ได้ถ่านหินคุณภาพดีอีก 2-3 ล้านตัน ทำให้ทั้งปี 2565 บริษัทตั้งเป้าขายถ่านหินที่ 42-43 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 36 ล้านตัน
จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนทำให้ราคาพลังงานปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากโดยเฉพาะถ่านหินและก๊าซฯ โดยราคาถ่านหินล่าสุดอยู่ที่ 385 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซฯจะทรงตัวในระดับสูงที่ 4.7 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทจะมีผลประกอบการเติบโตดีขึ้นกว่าปี 2564 ที่มารายได้ 4,124 ล้านเหรียญสหรัฐ และกำไรสุทธิ 304 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 4,124 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 131,861 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,841 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 58,870 ล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 81 โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 1,778 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 56,846 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 216 จากปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 304 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 9,719 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 643 อันเป็นผลจากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจ ส่งผลให้ราคาพลังงานทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการใช้พลังงาน ทั้งก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน ตลอดจนแหล่งรายได้ใหม่ๆ จากการเร่งขยายพอร์ตพลังงานที่สะอาดขึ้นในประเทศ โดยบริษัทมีเป้าหมาย EBITDA จากธุรกิจพลังงานที่สะอาดและธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานขึ้นมากกว่า 50% และเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้า 6,100 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568