กูรูเปิดโผหุ้นได้-เสีย รับผลกระทบหลังราคาน้ำมันพุ่งแรง ระบุหุ้นโรงไฟฟ้า-สายการบินกระทบโดยตรงจากต้นทุนเชื้อเพลิงทั้งก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ชี้ GPSC, BGRIM และ BPP กระทบมากสุด ขณะที่หุ้นโรงกลั่น ธนาคาร ประกัน สื่อสาร ได้ผลบวกเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น หนุนดอกเบี้ยขาขึ้น
สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังยืดเยื้ออย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาแม้ว่าจะมีการเจรจารอบที่ 3 อีกครั้งในเร็วๆ นี้ก็ตาม ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงที่สุดในรอบ 13 ปี โดยล่าสุด สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 3.72 ดอลลาร์ ปิดที่ 119.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนือ ลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 5.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 123.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
บล.โนมูระฯ ระบุหุ้นโรงไฟฟ้า-สายการบิน รับผลลบตรงๆ
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวพุ่งแรงจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน คาดว่าหุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดนั้น อยู่ใน 5 กลุ่มหลักๆ คือ
1.กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ DELTA, KCE และ HANA
2.กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC และ BGRIM
3.กลุ่มสายการบิน AAV และ BA
4.กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง CK, STEC และ ITD
5.กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ SAT และ STANLY
"กลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านลบโดยตรงมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มโรงไฟฟ้าและสายการบิน ขณะที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านลบทางอ้อมจากการที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อต้นของวัตุดิบสินค้า ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง ไฟแนนซ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ นิคมอุตสาหกรรม ร้านอาหาร เกษตรและอาหาร และอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจำกัด คือ การแพทย์ (Healthcare) ไอซีที ธนาคารพาณิชย์ และโรงแรม" นายกรภัทร กล่าว
ชูหุ้น 4 กลุ่มรับผลบวกน้ำมันแพง
ขณะที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านบวกโดยตรงคือ หุ้นกลุ่มพลังงาน โดยนักลงทุนที่มองหาหุ้นที่สามารถลงทุนได้ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบสูง แนะนำ
1.กลุ่มโรงกลั่น โดยได้ประโยชน์จาก stock gain โดยมี BCP เด่นสุดจากทั้ง stock gain และธุรกิจ E&P ที่ได้ประโยชน์จาก ASP ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งชดเชยธุรกิจการตลาดที่ค่าการตลาดถูกกระทบ และมี TOP เด่นรองลงมา
2.หุ้น BCPG เพราะไม่ได้รับผลกระทบน้ำมันสูง จากต้นทุนหลักมาจากค่าเสื่อมราคาของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ในขณะที่ราคาขายไฟฟ้าไม่ได้รับผลกระทบ ขณะที่ PER ถูกเพียง 13X
3.กลุ่มธนาคารและประกัน ได้แรงหนุนจากเงินเฟ้อที่สูงตามราคาน้ำมัน หนุนวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น KBANK, SCB, BLA เด่น
4.กลุ่มสื่อสาร ซึ่งได้รับผลกระทบน้อย แต่ด้วยภาพของกลุ่มที่ Valuation ถูกและปันผลสูง จึงเป็น Value Stock ที่จะ Outperform ตลาด จึงแนะนำ ADVANC
ASPS คาด 3 หุ้นโรงไฟฟ้า GPSC-BGRIM-BPP กระทบเต็มๆ
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าบางรายจะได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากที่สุด โดยเฉพาะโรงไฟฟ้ารูปแบบ SPP ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนเชื้อเพลิงทั้งก๊าซธรรมชาติ (LNG) และราคาถ่านหินที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นสอดคล้องกับทิศทางราคาน้ำมัน โดยคาดว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวที่จะได้ผลกระทบมากสุดคือ GPSC, BGRIM และ BPP
สำหรับ GPSC พบว่าการขายไฟให้ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม (IU) สัดส่วนกว่า 50-60% ซึ่งในส่วนของต้นทุนเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้ามีทั้งที่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน ถัดมา BGRIM มีลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมราว 23% และต้นทุนเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ และ BPP คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศจีนทั้ง 3 แห่ง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 23% ของโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วของบริษัทในปัจจุบัน