xs
xsm
sm
md
lg

สวทช.จับมือ GPSC ดันงานวิจัย-นวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนนำร่องน่าน-ระยอง ใช้สมาร์ทฟาร์มมิ่งหนุนเกษตรวิถีใหม่ตอบ BCG

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ร่วมกับ GPSC ผสานงานวิจัยด้านนวัตกรรมพลังงาน และเทคโนโลยี IoT พัฒนา "การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) ภายใต้โครงการ "ผลักดันวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่การใช้ประโยชน์ในชุมชนอย่างยั่งยืน” หวังยกระดับและเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจชุมชน ตามโมเดลเศรษฐกิจแบบ BCG เพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน นำร่องด้วยโครงการ GPSC Smart Farming โดยพัฒนาโรงเรือนอัจฉริยะใน 2 ชุมชนคือ บ้านสวนต้นน้ำ อ.เขาชะเมา จ.ระยอง และ บ้านห้วยขาบ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ขับเคลื่อนเกษตรวิถีใหม่ด้วยนวัตกรรม พร้อมเตรียมขยายผลสู่ชุมชนเครือข่ายในพื้นที่ทั่วประเทศ

ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การลงนาม (MOU) บันทึกข้อตกลงด้านการดำเนินงาน “โครงการผลักดันวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่การใช้ประโยชน์ในชุมชนอย่างยั่งยืน”ระหว่าง สวทช. และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่จะมาร่วมสนับสนุนการขยายผลงานวิจัยของ สวทช.ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการแพทย์มาประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อน โดยมีโครงการ GPSC Smart Farming (เกษตรอัจฉริยะ) เป็นโครงการนำร่อง 2 ชุมชน ในการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน และมีเป้าหมายการดำเนินงานภายในกรอบระยะเวลา 3 ปี (ต.ค.64 - ต.ค.67)

สวทช. ในฐานะหน่วยงานภายใต้กระทรวง การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เรามีบทบาทหลักในการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยบูรณาการองค์ความรู้ครอบคลุม 4 สาขาเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ สาขาพันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ สาขาเทคโนโลยีโลหะและวัสดุ สาขาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และ คอมพิวเตอร์ และสาขานาโนเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบผลงานไปสู่การใช้ประโยชน์ สร้างมูลค่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และด้วยโมเดลเศรษฐกิจแบบ BCG หรือโมเดลเศรษฐกิจแบบองค์รวม ซึ่งมีมติอย่างเป็นทางการจาก ครม. กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ถือเป็นกลไกที่มีศักยภาพสูงในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศอย่างทั่วถึง สามารถกระจายโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ


“ปัจจุบัน สวทช. มีบทบาทในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจแบบ BCG ที่พัฒนาบนพื้นฐานของความเข้มแข็งของประเทศไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจ BCG ที่เติบโต แข่งขันได้ในระดับโลก เกิดโอกาสการกระจายรายได้อย่างทั่วถึงสู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ขณะเดียวกันสามารถรักษาฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพไว้ได้อย่างสมดุล ซึ่งความร่วมมือกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่จะนำนวัตกรรมไปถึงมือผู้ใช้ ช่วยชุมชน โดยเฉพาะด้านการเกษตรที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน” ดร.ณรงค์กล่าว


“โครงการผลักดันวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) สู่การใช้ประโยชน์ในชุมชนอย่างยั่งยืน” ระหว่าง บริษัทโกลบอลเพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และ สวทช. ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในกลุ่มเทคโนโลยีด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม การเกษตร การแพทย์และสาธารณสุข ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในพื้นที่ชุมชนเป้าหมายของโครงการฯ ทั่วประเทศ ซึ่งดร.ณรงค์ชี้ว่า สวทช. พร้อมที่จะนำเอาองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์วิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกว่า 30 ปี บูรณาการให้เกิดนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์และขยายผลไปสู่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

“ความร่วมมือครั้งนี้ เราก็จะนำเทคโนโลยี นวัตกรรม องค์ความรู้ รวมถึงบุคลากรผู้เชี่ยวชาญของ สวทช. มาผนึกกำลังให้โครงการ GPSC Smart Farming (เกษตรอัจฉริยะ) ที่ใช้งานวิจัยและนวัตกรรมของ สวทช. อาทิ IoT ในระบบโรงเรือนอัจฉริยะ, นวัตกรรมฟิล์มคลุมโรงเรือน MultiTech และ MultiTech-Ultra, ถุงห่อผลไม้นอนวูฟเวนเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร, เมล็ดพันธุ์ เพื่อส่งเสริมการปลูกพืชหมุนเวียน, ปุ๋ยนาโนคีเลต, แอพพลิเคชั่นวัดความสุกของทุเรียน รวมถึงเครื่องย่อยสลายขยะอินทรีย์นาโน สำหรับผลิตสารคาร์บอน และสารปรับปรุงดิน เป็นต้น ซึ่งเป็นการบูรณาการองค์ความรู้ในทุกมิติ เพื่อขับเคลื่อนชุมชนและประเทศอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีคุณภาพและยั่งยืนด้วย วทน.” ดร.ณรงค์ กล่าว

นายวรวัฒน์ พิทยศิริ
นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. กล่าวว่า กรอบความร่วมมือครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญในการนำผลงานวิจัย นวัตกรรม และนาโนเทคโนโลยีของ สวทช. ไปประยุกต์ใช้ในงานด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบที่เป็นแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อนำไปใช้ได้จริงในชุมชนในพื้นที่ห่างไกล และที่ขาดแคลนด้านสาธารณูโภค รวมไปถึงการส่งเสริมอาชีพภายในชุมชนที่มีความพร้อมในการพัฒนาและต่อยอดการผลิตเพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่เข้มแข็ง ซึ่งสวทช. มีโครงการวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในมิติต่างๆ ขณะที่ GPSC พร้อมเข้าไปสนับสนุนขยายผลงานวิจัย ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี ด้านการบริหารจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ และนำผลงานไปใช้ประโยชน์ในชุมชนที่ GPSC เข้าไปสนับสนุน รวมทั้งจัดหาทรัพยากรด้านต่างๆ ทั้งบุคลากร อุปกรณ์ เทคโนโลยีด้านพลังงาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาในชุมชนเป้าหมายอื่นๆ ต่อไป หลังจากที่มีการพัฒนาแพลตฟอร์มให้กับชุมชนนำร่อง 2 แห่งแรกนี้

สำหรับการพัฒนาโครงการนำร่อง GPSC Smart Farming (เกษตรอัจฉริยะ) ได้มีการนำแพลตฟอร์มนวัตกรรมนาโนเพื่อพลังงานและสิ่งแวดล้อมมาพัฒนาใน 2 ชุมชน โดยชุมชนนำร่องแรกได้แก่ พื้นที่บ้านห้วยขาบ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ที่ประกอบด้วย 3 โครงการย่อย คือ 1.1 การส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน มุ่งเน้นการจัดอบรมให้ความรู้และประโยชน์ของการปลูกพืชหมุนเวียนตลอดจนพันธุ์พืชที่เหมาะสมการเพาะปลูกในแต่ละฤดูกาล (Training & Workshop) และ 1.2 ระบบเกษตรอัจฉริยะในโรงเรือน โดยพัฒนาระบบอัจฉริยะที่เหมาะสมกับพื้นที่ ติดตั้งระบบและทดสอบการใช้งาน ประกอบด้วย การติดตั้งพลังงานหมุนเวียน (RE) การปลูกพืชด้วยแสง LED ระบบการให้น้ำอัจฉริยะ และระบบเซนเซอร์สำหรับการติดตามสภาพแวดล้อม

ในส่วนของชุมชนนำร่องที่ 2 ได้แก่ พื้นที่บ้านสวนต้นน้ำ อ.เขาชะเมา จังหวัดระยอง ประกอบด้วย 2 โครงการ คือ 2.1 ‘Magik Growth’ นวัตกรรมถุงห่อทุเรียนแทนการฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช และช่วยทำให้เปลือกบาง-เนื้อหนาขึ้น เป็นการช่วยเกษตรกรประหยัดต้นทุน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) โดยจากงานวิจัยพบว่าทุเรียนที่ห่อด้วยถุง Magik Growth จะมีเปลือกบางลง 30% ทำให้น้ำหนักรวมของผลทุเรียนเพิ่มขึ้น 10% ขณะที่เนื้อจะแน่นขึ้นและมีสีเหลืองขึ้น และ 2.2 Application ตรวจวัดความสุกของทุเรียน พัฒนาจากการตรวจวัดด้วยคลื่นเสียง แสดงผลใน Application บนมือถือ เพื่อแสดงระดับความสุกของทุเรียนแต่ละลูก ช่วยให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวทุเรียนในระยะเวลาที่เหมาะสม ทำให้ขายได้ราคาดีขึ้นเนื่องจากทุเรียนมีความสุกพอดี

“Smart Farming จะสอดรับกับการใช้ชีวิตวิถีใหม่ โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดโควิด 19 ซึ่งมีแรงงานที่มีความรู้กลับไปอยู่ภูมิลำเนาจำนวนมาก เพื่อไปพัฒนาการเกษตรโดยนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้มาต่อยอดสู่ความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต โดยการยกระดับปัจจัย 4 ด้าน ได้แก่ 1.ลดต้นทุนในกระบวนการผลิต 2.เพิ่มคุณภาพมาตรฐานการผลิตและมาตรฐานสินค้า 3.ลดความเสี่ยงในเรื่องการระบาดของศัตรูพืชและภัยธรรมชาติ และ 4. ถ่ายทอดองค์ความรู้โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะมุ่งเน้นการพัฒนาโดยใช้พลังงาน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณภาพ และมาตรฐานที่จะนำไปสู่การสร้างโอกาส อาชีพ และรายได้อย่างยั่งยืนในภูมิภาคต่างๆ ของไทย โดย GPSC สนับสนุนการจัดหาทรัพยากรทั้งอุปกรณ์ บุคลากร และสวทช. พัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้งาน” นายวรวัฒน์กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GPSC ย้ำว่า GPSC มุ่งมั่นดำเนินงานที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพราะเชื่อว่าการที่ธุรกิจจะพัฒนาอย่างยั่งยืนได้นั้น ชุมชนและสังคมจะต้องเติบโตไปพร้อมกัน ประกอบกับให้ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาพัฒนา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนและสังคมไทย ดังนั้นโครงการ GPSC Smart Farming ซึ่งเป็นการนำนวัตกรรมพลังงานเพื่อชุมชนและระบบ IoT มาประยุกต์ใช้ในด้านการเกษตร ทั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานความร้อน บูรณาการในรูปแบบพลังงานหมุนเวียน ล้วนแล้วแต่เป็นพลังงานสะอาดที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำเกษตรกรรม และช่วยยกระดับเศรษฐกิจชุมชน อีกทั้งยังส่งเสริมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีให้กับชุมชน จึงมีส่วนช่วยสนับสนุนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ของ GPSC เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการเปลี่ยนแปลงทิศทางพลังงานโลก และแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ของไทยที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาดด้วยเช่นกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น