xs
xsm
sm
md
lg

เก็บภาษีหุ้น...จะต้องรอถึงชาติไหน / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การประกาศเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ กำลังเป็นชนวนปลุกให้คนแวดวงตลาดหุ้นลุกฮือต่อต้านทันที เพราะเกรงว่าจะเกิดผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนและมูลค่าการซื้อขายหุ้น

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้เปิดประเด็นการเก็บภาษีจากการขายหุ้นในอัตรา 0.10% สำหรับมูลค่าขายหุ้นวงเงินเกิน 1 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีรายได้ประมาณปีละ 16,000 ล้านบาท

แต่การเก็บภาษีขายหุ้นจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เมื่อเกิดกระแสต่อต้าน และแม้แต่กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังไม่แสดงจุดยืนสนับสนุนแนวคิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอย่างแข็งขัน

การเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้น หรือแคปปิตอล เกน เคยมีรัฐมนตรีหลายคนพยายามผลักดันมาแล้ว แต่ต้องล้มเลิกไป เพราะถูกกระแสต่อต้านจากคนในตลาดหุ้น

ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นคนแรกที่เสนอแนวคิด เก็บภาษีแคปปิตอล เกน เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม ปี 2530

หลังการประกาศ ตลาดหุ้นที่ขึ้นมากว่า 20 วันติดต่อทรุดตัวลงรุนแรง และเกิดเสียงโวยวายจากนักลงทุน เตรียมประท้วงกันวุ่นวาย จน ดร.ศุภชัย ต้องถอย ล้มเลิกความพยายามผลักดันการเก็บภาษีแคปปิตอล เกน

สำหรับการเก็บภาษีขายหุ้นครั้งนี้ แม้กระแสการต่อต้านจะไม่รุนแรงเหมือนอดีต แต่คนในแวดวงตลาดหุ้นยังไม่เห็นใครออกมาสนับสนุนแนวคิดของนายอาคม มีแต่เสียงคัดค้าน

บางคนอ้างว่า ช่วงเวลานี้ยังไม่เหมาะสม

แต่มีคำถามว่า ช่วงเวลาไหนจึงเหมาะสม จะต้องรอเมื่อไหร่ถึงสมควรแก่เวลาที่จะเก็บภาษีจากตลาดหุ้น อีก 10 ปี 20 ปี หรือ 50 ปี

และตลาดหุ้นวันนี้มีวิกฤตอะไรตรงไหนจึงยังไม่ควรเก็บภาษี ในเมื่อซื้อขายหุ้นกันวันละเหยียบๆ แสนล้านบาท

ตั้งแต่ ดร.ศุภชัย ประกาศจะเก็บภาษีแคปปิตอล เกน ผ่านมากว่า 34 ปีแล้ว ยังไม่มีการเก็บภาษีใดในตลาดหุ้นเพิ่มเติม

ถ้าจะเก็บภาษีการขายหุ้นก็สมควรแก่เวลาเหมือนกัน เพียงแต่จะเก็บในอัตราเท่าไหร่จึงเหมาะสมและยอมรับกันได้เท่านั้น

อัตราที่นายอาคม กำหนดขึ้นมานั้นเป็นอัตราที่สูงมาก และสูงกว่าอัตราค่านายหน้าหรือค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นเสียอีก

เพราะโบรกเกอร์หลายเบอร์คิดค่านายหน้าซื้อขายหุ้นเพียง 0.05% หรือมูลค่าซื้อขาย 1 ล้านบาท คิดค่านายหน้าเพียง 500 บาท

โบรกเกอร์บางแห่งคิดค่านายหน้าลูกค้ารายใหญ่หรือลูกค้าต่างประเทศที่ซื้อขายเร็วในอัตราเพียง 0.03% หรือมูลค่าซื้อขาย 1 ล้านบาท เสียค่านายหน้าเพียง 300 บาท

ภาษีการขายหุ้นที่นายอาคม จะเก็บจึงเป็นอัตรามหาโหด และถ้าใช้จริงจะกระทบอย่างรุนแรงต่อบรรยากาศการลงทุน

แต่ถ้าจะเก็บเพียง 0.01% หรือมูลค่าขาย 1 ล้านบาท จะเสียภาษี 100 บาท เชื่อว่า กระแสต่อต้านคงลดลง และจะมีเสียงสนับสนุนมากขึ้น เพราะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นน้อยมาก

มูลค่าซื้อขายหุ้น 11 เดือนแรกปีนี้เฉลี่ยวันละ 95,344 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงมีการขายหุ้นวันละ 95,344 ล้านบาท ถ้าสมมติฐานว่ามีจำนวนนักลงทุนที่ขายหุ้นเกิน 1 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 60,000 ล้านบาท

คำนวณจากมูลค่าการขายหุ้นที่อย่ในข่ายต้องจ่ายภาษี รัฐบาลจะมีรายได้วันละ 6 ล้านบาท และใน 1 ปี ตลาดหุ้นมีวันทำการประมาณ 264 วัน ซึ่งหมายถึงรัฐบาลจะมีรายได้จากภาษีขายหุ้นปีละประมาณ 1,584 ล้านบาท แม้จะไม่มาก แต่ดีกว่าจะไม่ได้อะไรเสียเลย

ถ้าเก็บภาษีในอัตราที่พอเหมาะพอควร คนในแวดวงตลาดหุ้นน่าจะเปิดใจกว้างยอมรับ

เพราะจะมองแต่ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องในตลาดหุ้นฝ่ายเดียวไม่ได้ และแม้นักลงทุนที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้น ตัวเลขล่าสุดเมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาจะมีจำนวน 3.05 ล้านราย แต่เป็นคนส่วนน้อย เมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ จำนวนประมาณ 70 ล้านคน

ตลาดหุ้นก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทเอกชน และเป็นแหล่งลงทุนของประชาชน ไม่ได้ก่อตั้งมาเพื่อเป็นแหล่งเก็งกำไร หรือมีการปลุกเร้าให้ประชาชนแห่เข้ามาซื้อขายเก็งกำไรหุ้น

มูลค่าการซื้อขายวันละเฉียด 1 แสนล้าน ทุกคนในตลาดหุ้นรู้ดีว่า เป็นมูลค่าซื้อขายที่เกิดจากการเก็งกำไรระยะสั้น ซื้อขายหุ้นวันละหลายรอบ ซึ่งไม่น่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่ดี

และการที่มูลค่าซื้อขายหุ้นของตลาดหุ้นไทย เป็นมูลค่าสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ในตลาดหุ้นกลุ่มอาเซียน ไม่มีใครควรจะแสดงความภาคภูมิใจ ในเมื่อเบื้องหลังวอลุ่มที่พองโตเกิดจากการเก็งกำไรโดยซื้อขายหุ้นวันละหลายรอบ

จึงไม่ควรนำมูลค่าการซื้อขายหุ้นที่มีลักษณะเป็นภาพลวงตา มาเป็นประเด็นต่อต้านการเก็บภาษีการขายหุ้น โดยเฉพาะหากเก็บในอัตราที่เหมาะสม

แต่อัตรา 0.10% นั้น รัฐมนตรีคลังอาจคิดโหดไปหน่อย








กำลังโหลดความคิดเห็น