xs
xsm
sm
md
lg

WFX เคาะราคาขายไอพีโอ 7.20 บาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




"เวิลด์เฟล็กซ์" เคาะราคาขายไอพีโอหุ้นละ 7.20 บาท เปิดจองซื้อ 9-14 ธ.ค.64 สำหรับผู้ถือหุ้นเดิมของ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน TRUBB (Pre-emptive Right) และวันที่ 15-17 ธ.ค.64 สำหรับประชาชนทั่วไป ที่ปรึกษามือทอง บล.เคทีบีเอสที ระบุเป็นราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน มั่นใจกระแสตอบรับดีเยี่ยม นักลงทุนสถาบันสนใจเข้าลงทุนเพียบ กำหนดฤกษ์ดีเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ธันวาคมนี้






นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ฝ่ายวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไป (IPO) ของบริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (WFX) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้กำหนดราคาขายหุ้นสามัญให้ประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 142 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท/หุ้น ในราคาหุ้นละ 7.20 บาท โดยกำหนดจากผล Bookbuilding จากนักลงทุนสถาบัน จำนวน 3 แห่ง ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของ บริษัทฯ โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 9-14 ธ.ค.64 สำหรับผู้ถือหุ้นเดิมของ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน TRUBB (Pre-emptive Right) และวันที่ 15-17 ธ.ค.64 สำหรับประชาชนทั่วไป และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในธันวาคม 2564 นี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “WFX” ในหมวดแฟชั่น

สำหรับการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1.เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นของบริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TRUBB) ตามสัดส่วนการถือหุ้น TRUBB (Pre-emptive Right) จำนวนไม่เกิน 11,360,000 หุ้น 2.เสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 14,200,000 หุ้น และ 3.เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 116,440,000 หุ้น

"การกำหนดราคาไอพีโอที่ระดับ 7.20 บาท/หุ้น เปรียบเทียบกับบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำตลาดเส้นด้ายยางยืดชั้นนำระดับโลก และในอนาคตมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากแผนเพิ่มกำลังผลิตขึ้นอีก 14,200 ตัน/ปี จากปัจจุบันกำลังการผลิต 36,000 ตัน/ปี รองรับการขยายตลาดใหม่ สร้างโอกาสในการก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดโลกได้ในอนาคต ซึ่งทำให้นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจหุ้น WFX เป็นอย่างมาก” นายรัฐชัย กล่าวในที่สุด
นายชวลิต ติยาเดชาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (WFX) กล่าวว่า การเข้าระดมทุนและจดทะเบียนใน SET จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตให้บริษัทฯ จากการขยายตลาดใหม่ ภายใต้จุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด ไม่ว่าจะเป็นความได้เปรียบของโปรดักต์ที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมทุกขนาด ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด


นอกจากนี้ WFX ยังมีความได้เปรียบด้านการเข้าถึงวัตถุดิบ เพราะโรงงานผลิตของบริษัทอยู่ในประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำยางข้นอันดับ 1 ของโลก ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเส้นด้ายยางยืด รวมทั้งการที่มีบริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TRUBB) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำยางข้นในไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ช่วยให้บริษัทเข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพในปริมาณที่ต้องการ

“มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังจากบริษัทฯ เดินหน้าขยายกำลังการผลิต ซึ่งเฟสแรกมีกำหนดจะผลิตได้ในช่วงกลางปี 2565 จำนวน 6,200 ตัน/ปี และในเดือนมกราคม 2566 จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 6,200 ตัน เพื่อรองรับออเดอร์ลูกค้าในต่างประเทศที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก” นายชวลิตกล่าว

นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (WFX) กล่าวเสริมถึงเรื่องผลประกอบการของ WFX โดยในงวด 9 เดือนแรกปี 2564 มีการเติบโตที่โดดเด่นมาก โดยมีรายได้รวม 2,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 874 ล้านบาท หรือ 51% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,715 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129 ล้านบาท หรือ 218% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 59 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 15.96% และกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 7.27%

ขณะที่ผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2561-2563 มีกำไรสุทธิ 19.22 ล้านบาท 7.72 ล้านบาท และ 57.81 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2561-2563 อยู่ที่ 4.82% 4.76% 7.42% และกำไรสุทธิในปี 2561-2563 อยู่ที่ 1.03% 0.38% 2.40% ตามลำดับ


สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินงานของ WFX เติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ทั้งในเอเชียใต้ บังกลาเทศ ปากีสถาน เยอรมนี อิตาลี รัสเซีย บราซิล อาร์เจนตินา และชิลี รวมถึงชิงส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) จากคู่แข่ง จากความได้เปรียบในด้านต้นทุนยางพาราธรรมชาติที่ถูกกว่าคู่แข่ง เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก

ขณะที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ปัจจุบันอยู่ที่ 1.12 เท่า ซึ่งภายหลังเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) บริษัทฯ มีแผนนำเงินบางส่วนไปใช้คืนหนี้สถาบันการเงิน ทำให้ D/E อยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่า


กำลังโหลดความคิดเห็น