แม้ถูกมาตรการกำกับการซื้อขายอย่างเข้มข้นขั้นสูงสุดถึงระดับ 3 และแม้ถูกประกาศเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวัง รวมทั้งกำชับให้บริษัทโบรกเกอร์สอดส่องดูแลคำสั่งซื้อขายของลูกค้าอย่างเคร่งครัด แต่ตลาดหลักทรัพย์ไม่อาจทำให้หุ้นบริษัท ที เอ็นจีเนียริ่ง คอร์เอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ T สยบลงได้
ราคาหุ้น T ยังถูกลากขึ้นต่อเนื่องท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่หนาตา ทั้งที่เป็นบริษัทจดทะเบียนที่ปัจจัยพื้นฐานอ่อนแอ โดยมีทรัพย์สินรวม 278.46 ล้านบาท รายได้ 6 เดือนแรกปีนี้มีเพียง 10.63 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 31.37 ล้านบาท และเป็นผลขาดทุนติดต่อกันหลายปี
ในรอบ 12 เดือน หุ้น T เคยลงไปต่ำสุดที่ 2 สตางค์ ก่อนจะเคลื่อนไหวแถว 6 สตางค์อยู่พักใหญ่ และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมาราคาปิดอยู่ที่ 6 สตางค์ หลังจากนั้นจึงถูกลากขึ้น ล่าสุด วันพุธที่ 6 ตุลาคมถูกลากขึ้นมาปิดที่ 58 สตางค์ เพิ่มขึ้น 9 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 18.37% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 567.80 ล้านบาท
ภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน ราคาหุ้น T พุ่งทะยานขึ้นมาเกือบ 900% โดยไม่มีปัจจัยใดสนับสนุน และบริษัทชี้แจงตลาดหลักทรัพย์มาตลอดว่า ไม่มีพัฒนาการใดๆ ที่ส่งผลต่อราคาหุ้น
ตลาดหลักทรัพย์ประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขายตั้งแต่ระดับหนึ่ง กำหนดให้ต้องซื้อด้วยบัญชีเงินสด ก่อนยกระดับสู่ขั้นที่ 2 ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขายหุ้น และสุดท้ายต้องใช้มาตรการขั้นสูงสุดระดับ 3 ห้ามหักกลบชำระค่าซื้อขายหุ้นภายในวันเดียว แต่หุ้น T ถูกลากขึ้นเย้ยหยันมาตรการคุมเข้ม
จนเมื่อวันที่ 22 กันยายน ตลาดหลักทรัพย์ได้ออกประกาศด่วนระหว่างพักการซื้อขายหุ้นภาคเช้า เตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังการซื้อขายหุ้น T และสั่งให้โบรกเกอร์ดูแลการซื้อขายหุ้นอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการส่งคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสมและไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์
แต่หุ้น T ไม่ได้สะทกสะท้าน ราคายังถูกลากขึ้นทะลุฟ้าต่อเนื่อง แม้ตลาดหลักทรัพย์จะขยายเวลามาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 3 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 28 กันยายน สั่งให้มีผลบังคับใช้ต่อไประหว่าง 29 กันยายนถึง 19 ตุลาคมนี้ก็ตาม
ไม่รู้ว่านักลงทุนรายย่อยแห่เข้าไปเก็งกำไรหุ้น T จำนวนมากน้อยเพียงใด แต่สำหรับผู้ถือหุ้นใหญ่ T ถือโอกาสเทขายหุ้นทิ้ง
น.ส.ชนิดา แซ่ตั้ง ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 แจ้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในวันที่ 13 กันยายนว่า เมื่อวันที่ 7 กันยายน ได้จำหน่ายหุ้นสัดส่วน 2.192% และเหลือหุ้นที่ถืออยู่ 9.225% ของทุนจดทะเบียน
ต่อมาในวันที่ 27 กันยายน นายสันติ ปิยะทัต ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 แจ้ง ก.ล.ต. ว่า เมื่อวันที่ 22 กันยายนได้จำหน่ายหุ้นสัดส่วน 3.2881% จึงเหลือหุ้นที่ถืออยู่สัดส่วน 4.3248% ของทุนจดทะเบียน
ล่าสุดไม่รู้ว่า นายสันติ ยังมีหุ้น T เหลืออยู่หรือไม่ ขายทิ้งเกลี้ยงหรือยัง เพราะเมื่อถือหุ้นสัดส่วนต่ำกว่า 5% ของทุนจดทะเบียน และไม่ได้เป็นกรรมการบริษัทจึงไม่ต้องรายงานการจำหน่ายหุ้น
ตลาดหลักทรัพย์คงจนปัญญาในการสะกดหุ้น T เพราะมาตรการกำกับที่มีอยู่ใช้ไปครบถ้วนทุกรูปแบบแล้ว แต่ไม่ได้ผล กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังการลากหุ้นตัวนี้ไม่เกรงกลัว และกำลังทำให้ตลาดหลักทรัพย์กลายเป็น “เสือกระดาษ”
นอกจากนั้น หุ้น T จะเป็นแบบอย่างในการลากหุ้นตัวอื่น และนำตลาดหุ้นย้อนยุคสู่วงจรอุบาทว์การปั่นหุ้น
T กำลังเย้ยหยันตลาดหลักทรัพย์ ท้าทาย ก.ล.ต. เพราะรู้กันอยู่ว่า ราคาหุ้นที่พุ่งทะยานมาเกือบ 2 เดือนเต็มต้องมีนักลงทุนขาใหญ่หรือเจ้ามืออยู่เบื้องหลัง
แต่จนถึงวันนี้ทำไมตลาดหลักทรัพย์จึงตรวจสอบไม่เจอ
และทำไมไม่คิดหามาตรการอื่นเล่นงานหุ้นที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายปั่น ในเมื่อมาตรการกำกับการซื้อขายพิสูจน์แล้วว่า ใช่ไม่ได้ผล โดยหุ้น T เป็นตัวประจานความล้มเหลว
หุ้น T ที่ถูกลากขึ้นสวนมาตรการกำกับการซื้อขายเป็นการทดสอบผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ ในการปราบบรรดาเจ้ามือหุ้นที่กำลังเปิดเทศกาล ลากหุ้นอย่างโจ๋งครึ่มโดยไม่กลัวกฎหมาย และไม่ไว้หน้าใคร