ซีไอเอ็มบี ไทยยังคงเป้าหมายจีดีพีเติบโตได้ 0.7% แต่หากการระบาดของโควิด-19 ลุกลามไปสู่ภาคการผลิตและกระทบส่งออกจะกดจีดีพีให้ต่ำลงจนถึงติดลบได้ มองภาพรวมกลุ่มอาเซียนยังมีศักยภาพดี และจะกลับมาเติบโตได้หลังผ่านสถานการณ์โควิด-19
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดของโควิด-19 โดยยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศอยู่ในระดับสูง โดยซีไอเอ็มบีไทยประมาณการจีดีพีปีนี้เติบโตที่ระดับ 0.7% ภายใต้สมมติฐานว่าจะสามารถควบคุมการระบาดได้ในไตรมาส 3 และเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ได้ในไตรมาส 4 อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม เป็นกรณีของการระบาดที่หากยืดเยื้อกว่าที่คาดต้องมีการล็อกดาวน์ที่เข้มข้นขึ้น รวมถึงการระบาดลุกลามไปถึงภาคการผลิตเพื่อส่งออก และเกิดการระบาดใหม่ในต่างประเทศที่รุนแรงจนกระทบต่อการฟื้นตัวของตลาดโลก ทำให้กระทบต่อการส่งออกของไทยที่เป็นปัจจัยสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจอยู่ในขณะนี้ อาจจะส่งผลให้จีดีพีปีนี้เติบโตต่ำกว่าที่คาดไปจนถึงติดลบได้ในปีนี้ โดยซีไอเอ็มบีไทยได้ประมาณการส่งออกปีนี้เติบโตที่ 15%
ด้านเงินบาทที่อ่อนค่าลงในขณะนี้ที่หลุดระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ไปที่ 33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในวันนี้นั้น เชื่อว่าในระยะสั้นนี้จะยังอ่อนค่าอยู่จากความกังวลในสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังขาดดุลจากการท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับมา ซึ่งเป็นไปได้ที่จะทะลุถึง 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่หากสถานการณ์ดีขึ้นในไตรมาส 4 เชื่อว่าเงินทุนจะเริ่มไหลกลับเข้ามา และค่าเงินบาทจะกลับเข้าสู่ระดับปกติได้
**มองการรวมกลุ่ม RCEP ช่วยหนุนศักยภาพ**
สำหรับการรวมกลุ่มของอาเซียนที่จะก้าวไปสู่ RCEP นั่นคือ 10 ประเทศอาเซียน รวมกับ 5 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก คือ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และจะมีอินเดียตามมาประเทศที่ 6 ซึ่งประเทศสมาชิกที่มากขึ้นจะเพิ่มโอกาสการค้าการลงทุนในภูมิภาคเพื่อรับมือกับวิกฤตโควิด-19 ที่ฉุดเศรษฐกิจแต่ละประเทศชะลอตัว ดังนั้น การค้าการลงทุนในภูมิภาคจะช่วยให้อาเซียนพลิกโอกาสขึ้นมาเติบโตได้ดีขึ้นหลังยุคโควิด-19 เป็นต้นไป
ส่วนมาตรการล็อกดาวน์ที่จำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจในหลายประเทศ การฉีดวัคซีนในภูมิภาคนี้ล่าช้า รวมทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อสูง ส่งผลให้การค้าการลงทุนปีนี้ รวมถึงอุปสงค์ในแต่ละประเทศชะลอตามไปด้วย อย่างไรก็ดี การส่งออกของแต่ละประเทศยังมีศักยภาพเติบโตได้ดี อยู่ในระดับที่สูงราว 15-20% ในปีนี้ และจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อเนื่องไปถึงปีหน้า สืบเนื่องจากการที่ชาติพันธมิตร 10 ประเทศมีโอกาสที่จะร่วมมือกับชาติอื่นๆ ในภูมิภาคที่เรียกว่า RCEP และมีการเจรจาการค้าเสรี FTA กับประเทศนอกกลุ่มเพิ่มเติม
นอกจากนี้ อาเซียนแสดงให้เห็นว่าโลกาภิวัตน์สามารถสนับสนุนประเทศขนาดเล็กให้ได้ประโยชน์จากการเติบโตการค้าโลกได้ และเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยบรรเทาผลกระทบจากการชะลอตัวภายในประเทศจากปัญหาโควิด-19 อาเซียนมีโอกาสทางธุรกิจสำหรับนักลงทุนไทย เพราะแต่ละประเทศมีศักยภาพ ด้วย 3 ปัจจัย คือ เศรษฐกิจโตเร็ว ชนชั้นกลางเพิ่มต่อเนื่องสะท้อนภาพกำลังซื้อที่ดี และการเชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเห็นภาพของอาเซียนยังเป็นศักยภาพที่เติบโตได้ในอนาคต
“ปัจจุบันอาเซียนเป็นจุดศูนย์กลางการระบาดของโควิด-19,ที่รุนแรง แต่น่าจะชั่วคราว น่าจะถึงจุดสูงสุดไม่กี่เดือนข้างหน้า และถึงจุดสิ้นสุดได้ในปีนี้ จากการกระจายวัคซีนที่ดีขึ้น ประชากรมีภูมิคุ้มกันดีขึ้น ผู้ติดเชื้อรายว้นลดลง และพร้อมเปิดเมืองได้ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นจากประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงถึงจุดหนึ่งจะเริ่มลดลง และศักยภาพเศรษฐกิจในประเทศจะเริ่มกลับมาเติบโต และทะยานดีขึ้นปีหน้า ที่สำคัญการรวมกลุ่มเพื่อเน้นการค้าการลงทุนกับภูมิภาคอื่นรวมถึงภายในกันเองเป็นโอกาสสำคัญที่อาเซียนจะช่วยต้านทานกระแส Deglobalization หรือการพยายามตีกลับเรื่องกระแสโลกาภิวัตน์ ที่สหรัฐฯ ร่วมกับพันธมิตรอื่นกดดันจีนไม่ให้เป็นมหาอำนาจ เรายังมองว่าอาเซียนถ้ารวมกลุ่มกันเหนียวแน่น โดยไม่มีความพยายามเลือกข้างใดข้างหนึ่งระหว่างสหรัฐฯ หรือจีน แต่พยายามรวมกลุ่มกัน จัดสรรผลประโยชน์ที่ดีที่สุดให้ชาติพันธมิตร โอกาสในอนาคตผ่านการค้าการลงทุนกับหลากหลายประเทศเป็นโอกาสสำคัญทำให้อาเซียนรักษาสมดุลภายในกระแสการค้าโลกที่มีความผันผวนได้ในปีถัดๆ ไป”
**มองดัชนีปีนี้ที่ 1,690**
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา CFA กรรมการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปัจจุบันคนไทย บริษัทไทยมองหาโอกาสลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านตลอดเวลา จากตัวเลข Thailand Direct Investment (TDI) คนไทยไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2559 แม้ปีก่อนจะเผชิญโควิด-19 แต่ TDI ยังคงโต และโตต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ส่วนใหญ่ไปลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ส่วนผลตอบแทนจากการไปลงทุนอาจต้องรอ 3-5 ปี หากธุรกิจเติบโต แข่งขันได้ เงินลงทุนจะกลับเข้ามาในประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยแข็งแรงขึ้น ขณะที่ เงินต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย Foreign Direct Investment (FDI) กลับน้อยกว่าเงินที่คนไทยนำไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน โดย FDI ปีก่อน ติดลบ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมองย้อนกลับไปก่อนมีโควิด-19 FDI มาไทยไม่ได้สูงมาตั้งแต่ปี 2559 เรื่อยมาถึงตอนนี้
“ตลาดไทยไม่น่าสนใจในสายตาต่างชาติอีกต่อไป เพราะเราไม่ค่อยมีบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ส่วนใหญ่เป็น sector ใหม่เกี่ยวกับเทคโนโลยี สินค้าไฮเทค สมาร์ทโฟน รถ EV ซึ่งต้องมีเงินทุนใหม่ๆ มารองรับ ถ้าถามว่าไทยจะมีอุตสาหกรรมใดที่จะพัฒนาเพื่อต่อยอดเศรษฐกิจของเราเองได้ เป็นคำถามที่รัฐบาลต้องนำไปคิด ทำไมต่างชาติเขามองข้ามเราไป หรือโครงสร้างพื้นฐานเราเองมีปัญหา เช่น เรื่องคน เรื่องการศึกษา แรงงานเราค่าแรงไม่ถูก แต่ทักษะสูงไม่พอหรือเปล่า รวมถึงระบบโลจิสติกส์ที่ไม่เอื้อ ทำให้ประเทศไทยขาดความน่าสนใจในการลงทุน อย่าว่าแต่นักลงทุนต่างชาติเลย แม้แต่นักลงทุนไทยยังไปลงทุนเพื่อนบ้าน” นายเกษม กล่าว
ฝั่งตลาดหุ้นไทย การระบาดของโควิด-19 ที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันทำสถิติใหม่ไม่หยุด ส่งผลให้ต่างชาติขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยขายไปแล้วกว่า 9 หมื่นล้านบาท YTD (year-to-date) และถ้ารวมกับปีก่อน เป็นการเทขายรวม 2.6 แสนล้านบาทแล้ว โดยเฉพาะช่วงหลังนี้ต่างชาติขายอย่างเดียว แทบไม่ซื้อเลย หากไทยยังควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ไม่ได้ ยากที่ต่างชาติจะกลับมาซื้อ โดยซีไอเอ็มบีไทย มองดัชนีตลาดหุ้นในปีนี้ที่ระดับ 1,690 จุดหากสามารถควบคุมการระบาดได้ในไตรมาส 3 แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อดัชนีก็อาจจะต่ำกว่า 1,500 จุดได้
อย่างไรก็ตาม โควิด-19 ไม่ใช่ปัจจัยเดียว ต่างชาติขายและระมัดระวังกับเงินลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เพราะกังวลในสัญญาณที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจลดวงเงินซื้อสินทรัพย์ต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ mortgage back securities รวมถึงกังวลว่าดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นปลายปี 2565 ถึงต้นปี 2566 ต่างชาติจึงลดสัดส่วนถือครองหุ้นแทบทุกตลาด
นายเกษม กล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบเพื่อนบ้านไม่ได้แย่ขนาดนั้น market performance ยังเป็นบวกเล็กน้อย หากเทียบตลาดในภูมิภาค ตลาดที่บวกคือแถบเอเชียเหนือ เช่น ตลาดไต้หวัน YTD ขึ้นไปกว่า 30% ตลาดเกาหลีขึ้นไปเกือบ 20% สาเหตุหลัก คือ ควบคุมโควิด-19 ได้ดีกว่า และมีอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ตลาดจึงดีกว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ค่อนข้างสาหัสกันเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นสิงคโปร์ ที่ YTD ค่อนข้างดีเกือบ 20% แต่ถ้ากลับมาดูประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเปรียบเทียบภายในกันเอง ตลาดไทยไม่ได้แย่มาก ส่วนตลาดมาเลเซียแย่กว่าเรา จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ใกล้เคียงกับไทย แต่เมื่อเทียบสัดส่วนกับประชากรที่น้อยกว่าไทยครึ่งหนึ่ง มาเลเซียจึงสาหัสกว่าไทย รวมถึงมีปัญหาการเมืองด้วย performance จึงไม่ดี คล้ายกับฟิลิปปินส์ที่โควิด-19 ระบาดหนักเช่นกัน ส่วนเวียดนามดีในช่วงแรก โดยนำโด่งขึ้นไปถึง 30% แต่หลังโควิด-19 ระบาดหนัก จึงลดลงมาเหลือ 19% และถ้าระบาดหนักกว่าเดิมอาจลดลงไปได้อีก
**แนะกระจายลงทุนในภูมิภาคเอเชีย**
นายดนัย อรุณกิตติชัย CFA ผู้บริหารที่ปรึกษาการลงทุนและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน Wealth Advisory by CIMB THAI ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนในกลุ่มอาเซียน ทางเลือกในการลงทุนสามารถทำได้ผ่านกองทุนรวม หรือการลงทุนในหลักทรัพย์โดยตรงในบางตลาด เช่น เวียดนาม ที่น่าสนใจอย่างมากช่วงที่ผ่านมา โดยตลาดเวียดนามเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นกว่าตลาดอื่นๆ ในอาเซียน โดย 5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในดัชนี VNI Index ของเวียดนามให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 16.5% ต่อปี สูงกว่าผลตอบแทนช่วงเวลาเดียวกันของดัชนี S&P500 ที่เป็นหนึ่งในดัชนีที่ให้ตอบแทนสูงและเติบโตเร็วช่วงที่ผ่านมาที่ 15.0% ต่อปี โดยขนาดมูลค่าของตลาดเวียดนาม (Market Capitalization) สะท้อนจากดัชนี VNI Index ก็เติบโตขึ้นกว่า 3.5 เท่าจากมูลค่าโดยประมาณ 84,000 เป็น 210,846 ล้านเหรียญสหรัฐ และกำไรต่อหุ้นเติบโตโดยเฉลี่ย 14.8% ซึ่งเป็นอัตราที่อยู่ในเกณฑ์สูง ขณะที่ประเทศอื่นๆ อาจจะทรงตัวและปรับตัวไม่มากนัก แต่ยังน่าสนใจในแง่ของความหลากหลายของอุตสาหกรรมและความหลากหลายในภูมิภาค โดยบางประเทศเน้นอุตสาหกรรมกลุ่มธุรกิจการเงิน บางประเทศเน้นกลุ่มอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ จากปัจจัยในตลาดโลก ทั้งการแพร่ระบาด นโยบายการเงินการคลัง และการอัดฉีดสภาพคล่องของภาครัฐ ทำให้ตลาดหุ้นหลายๆ แห่งโดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป เริ่มอยู่ในเกณฑ์แพง สะท้อนจาก Forward PE และความเสี่ยงของการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ทำให้การลงทุนอาจต้องระมัดระวังและหันกลับมามองในฝั่งเอเชีย รวมถึงกลุ่มอาเซียนด้วย ซึ่งยังมีระดับการซื้อขายในช่วง 13-18 เท่า และเทียบกับค่าเฉลี่ยของระดับการซื้อในอดีตก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว
“การจัดพอร์ตการลงทุนเรายังคงแนะนำให้กระจายการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งรวมไทยและอาเซียนด้วยในช่วง 11% ถึง 39% ตามระดับความเสี่ยงจากพอร์ตความเสี่ยงต่ำสุดไปถึงสูงสุด โดยในช่วงที่ผ่านมา เน้นการลงทุนในเวียดนาม แต่หากมองไปในอนาคต การกระจายบางส่วนลงทุนภูมิภาคอาเซียนก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ กองทุนที่ให้ผลตอบแทนโดนเด่นยังเป็นกองทุนที่ลงทุนในเวียดนามที่เป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในภูมิภาค โดยกองทุนหลัก ได้แก่ กองทุน Principal VNEQ-A ที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา ส่วนกองทุนที่ลงทุนในภูมิภาคอาเซียนแม้ผลตอบแทนจะต่ำกว่ากองทุนเวียดนามแต่ความเสี่ยงในแง่ของความผันผวนน้อย และเนื่องจากกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายอุตสาหกรรมและในหลายประเทศ ได้แก่ กองทุน KT-ASEAN” นายดนัย กล่าว