xs
xsm
sm
md
lg

ยูโอบีชู ESG ดันธุรกิจโต 7.8% คาด Q3 หุ้นปรับฐานชี้เป้าลงทุนแบงก์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ยูโอบีโตเกือบ 8% เน้นแนวทางลงทุนแบบ ESG ระบุเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวไม่เท่ากัน ไทยวืดเป้าฟื้นตัวช้า สหรัฐฯ นำโด่ง แนะลงทุนหุ้นคัดรายตัว เน้นกลุ่มรับอานิสงส์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ คาด Q3 จ่อปรับฐาน เหมาะลงทุนเพิ่มระยะยาว

นางสาวรัชดา ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) หรือ UOBAM เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีอัตราการเติบโตของทั้ง 3 ธุกิจ ประกอบด้วย กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ประมาณ 7.8% และต่อจากนี้สิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญคือการลงทุนอย่างยั่งยืนตามแนวทาง ESG โดยยูโอบีกรุ๊ปมีการดำเนินการอยู่ใน 9 ประเทศจาก 10 ประเทศอาเซียน และถือเป็นผู้นำแนวทางการลงทุนแบบยั่งยืน

สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดขายกองทุนใหม่ โดยเฉพาะกองทุนที่มีแนวทางการลงทุนแบบยั่งยืนเป็นหลัก และอาจมีการเจาะลึกลงไปเป็นประเภทธีมเมติกฟันด์ที่มีแนวทางการลงทุนแบบ ESG

ด้านนายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 1,480-1,600 จุด โดยหุ้นที่น่าสนใจจะเป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเก่า หุ้นการเงิน และพลังงาน แต่คงต้องรอความชัดเจนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการกระจายวัคซีน ซึ่งถ้าเอเชียและไทยสามารถกลับมาเปิดประเทศได้เร็วเท่าไหร่ก็จะส่งผลดีมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยจะถูกกดดันด้วยแนวโน้มค่าเงินบาทที่คาดว่าจะอ่อนค่าลงมากกว่า 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และอาจอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ระดับ 33.3 ถึง 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ในช่วงที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ในระดับสูง

ทั้งนี้ สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นโลกอาจมีการปรับฐานได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยน่าจะมาจากความกังวลในการส่งสัญญาณปรับลดมาตรการการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางโดยเฉพาะเฟดซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และไทย แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการออกจากมาตรการหรือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะยังไม่เกิดขึ้นในปีนี้แต่น่าจะเริ่มปรับลดในช่วงปี 2023 ถึงปี 2024

“เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคส่งผลให้ภาวะการลงทุนแตกต่างกันไปด้วย โดยไทยถือเป็นตลาดหนึ่งที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้าหมายทำให้ระยะสั้นหุ้นไทยไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสสามของปีนี้หากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ในระยะยาวหุ้นไทยยังน่าลงทุนและน่าจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ”

ขณะที่การลงทุนในหุ้นต่างประเทศมีความน่าสนใจในสองตลาดด้วยกัน ได้แก่ หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว และหุ้นในตลาดเอเชีย แต่ทั้งสองตลาดก็มีความแตกต่างกัน โดยตลาดประเทศพัฒนาอย่างสหรัฐฯ ถือเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยในช่วงที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวไม่เท่ากัน โดยหุ้นที่น่าสนใจจะเป็นหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นหลัก ขณะที่หุ้นเอเชียเองจะได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจและมีโอกาสที่ผลตอบแทนจะสูงกว่า

“หุ้นสหรัฐฯ และจีน เราปรับลดน้ำหนักลงมาจากให้น้ำหนักมากเป็นชื่นชอบกลางๆ โดยหุ้นสหรัฐฯ  S&P500 มองกรอบ 4,000-4,500 และหากมีการปรับฐานการกลับเข้าซื้อกลุ่ม Thematics และหุ้นขนาดกลางเล็กถือว่าน่าสนใจ เพราะถ้ามองจากจีดีพีที่คาดว่าจะเติบโตในระดับ 8% 5% และ 4% ต่อจากนี้ เชื่อว่าหุ้นสหรัฐฯ น่าจะยังทำผลงานได้ดี แต่คงต้องมีการเลือกลงทุนรายตัวมมากขึ้น ส่วนตลาดเอเชียมองตลาดสิงคโปร์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้ น่าสนใจที่สุด เพราะเป็นประเทศที่มีความสำคัญในภาคการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีตั้งแต่ต้นน้ำเป็นหลัก ทำให้หุ้นของทั้งสองประเทศมีแนวโน้มปรับตัวได้ดีในอนาคต”

นอกจากการงทุนในหุ้นแล้ว ปัจจุบันกลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการกระจายการลงทุน โดยการลงทุนในตราสารหนี้เริ่มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยแต่ยังต้องรอนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางที่น่าจะมีผลในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า ขณะที่การลงทุนทางเลือกโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์หรือกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในสังหาริมทรัพย์ชึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ
กำลังโหลดความคิดเห็น