วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเกิดความผันผวนรุนแรง นักลงทุนเกิดความตื่นตระหนกข่าวลือจนเกิดการเทขาย ฉุดให้ดัชนีหุ้นดิ่งลงกว่า 70 จุด เกือบจะหลุดจากระดับ 1,500 จุด ก่อนกระเตื้องขึ้นมาในช่วงท้าย
ตลาดหุ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถูกครอบงำด้วยความกังวลภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งจะนำไปสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทรุดลงแรง ส่งผลกระทบทางจิตวิทยา ฉุดให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงตาม รวมทั้งตลาดหุ้นไทยที่กำลังจะพุ่งทะลุ 1,600 จุด แต่ต้องถอยหลังลงมาตั้งหลักต่ำกว่า 1,550 จุด
แนวโน้มตลาดหุ้นกลับเข้าสู่ช่วงขาลง โดยมีความกังวลการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เป็นตัวกดดัน แต่ช่วงบ่ายวันพฤหัสบดี มีข่าวลือไม่พึงประสงค์เข้ามาซ้ำเติม จนนักลงทุนเกิดความตื่นตระหนกพากันเทขายหุ้น
ดัชนีหุ้นที่ลดลงอยู่ระหว่าง 10-20 จุด รูดลงทันที โดยลบลงไปถึง 70.83 จุด จนถอยมายืนที่ 1,501.02 จุด ก่อนจะมีแรงซื้อทยอยเข้ามา ดึงดัชนีหุ้นดีดตัวกลับแรง และปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,548.23 จุด
นักลงทุนกลุ่มที่ตื่นตระหนกกลายเป็นนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งขายหุ้นสุทธิ 2,458.07 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ขายหุ้นออกสุทธิ 1,797.76 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันหรือกองทุนรวมขายหุ้นออกสุทธิ 286.28 ล้านบาท
นักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ซื้อกลุ่มเดียว โดยซื้อสุทธิ 4,542.11 ล้านบาท
หุ้นปีนี้ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และไม่เกิดการปรับฐานใหญ่ แม้จะมีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสาม เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยเข้าช้อนซื้อหุ้น จนพยุงตลาดไม่ให้เกิดการทรุดตัวลง
ผู้ที่มีเงินออม และไม่รู้จะลงทุนอะไรได้ย้ายเงินเข้ามาในตลาดหุ้น โดยหวังแสวงหาผลตอบแทนที่ดี
นักลงทุนหน้าใหม่ทยอยเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น และกลายเป็นกองหนุนสำคัญ ทำให้มีเงินก้อนใหม่เข้ามาประคับประคองตลาด หุ้นจึงไม่ลง ทั้งที่สถานการณ์โควิด-19 รุนแรงถึงขั้นวิกฤต
ปี 2563 นักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ซื้อหุ้นมากที่สุด โดยมียอดซื้อหุ้นสุทธิ 216,192.19 ล้านบาท และปีนี้ยังซื้อต่อ มียอดซื้อสุทธิสะสมจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม รวมทั้งสิ้น 96,850.88 ล้านบาท ซึ่งแรงซื้อของนักลงทุนรายย่อยมีส่วนผลักดันให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นจนทะลุ 1,600 จุดหลายครั้ง
แต่นักลงทุนรายย่อยใจจะสู้ต่อไปไหม และมีเงินช้อนซื้อหุ้นได้อีกยาวนานขนาดไหน เพราะช่วง 2 ปีนี้ นำเงินไปจมอยู่ในตลาดหุ้นจำนวนมหาศาล
เฉพาะเงินที่จมไปในการช้อนซื้อหุ้นกว่า 3.12 แสนล้านบาทแล้ว ยังไม่นับหุ้นใหม่ที่แห่เข้ามาสูบเงินจากนักลงทุนในตลาดหุ้นอีกหลายแสนล้านบาท ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา และมีอีกหลายบริษัทที่รอคิวเข้ามาดูดซับสภาพคล่องในตลาดหุ้นปีนี้
แต่นักลงทุนจะปั๊มเงินจากไหนมาไล่ช้อนหุ้นอีก
ถ้าต่างชาติยังเทขายหุ้นไม่เลิก ถ้าตลาดหุ้นเกิดความผันผวน หรือทรุดลง แค่หลุดระดับ 1,500 จุด และเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ สัก 3 เดือน นักลงทุนรายย่อยที่แบกหุ้นไว้เต็มพอร์ตอาจทนไม่ไหวจนต้องระบายหุ้นออกมา ซึ่งจะซ้ำเติมให้สถานการณ์ตลาดหุ้นเลวร้ายลง
ภาวะเงินเฟ้อสหรัฐฯ กลายเป็นปัจจัยใหม่ที่ซ้ำเติมตลาดหุ้น นอกเหนือจากวิกฤตโควิด-19 ระลอก 3 และทำให้แนวโน้มตลาดหุ้นระยะสั้นเสี่ยงที่จะเกิดความผันผวนรุนแรง
นักลงทุนรายย่อยน่าจะใกล้หมดกระสุนแล้ว ถ้าตลาดหุ้นเกิดวิกฤต และไม่มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาเป็นกองหนุนช่วยซื้อหุ้นพยุงตลาด
วิกฤตหุ้นรอบใหม่อาจรุนแรงมาก นักลงทุนรายย่อยจึงต้องเฝ้าระวัง เพราะเก็บสะสมหุ้นไว้แทบจะเต็มพอร์ตทั้งนั้น
ถ้าเกิดการปรับฐานใหญ่จะเป็นกลุ่มเจ็บหนักที่สุด