xs
xsm
sm
md
lg

KKP ชี้คุณภาพหนี้สะท้อน 3 จุดเปราะบางธุรกิจไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่า ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 สิ่งที่น่ากังวลอย่างหนึ่งคือ ความสามารถในการชำระหนี้และปัญหาคุณภาพสินเชื่อภาคธนาคาร จากการที่รายได้ของธุรกิจและครัวเรือนได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 สัดส่วนหนี้เสียต่อยอดสินเชื่อคงค้าง (NPL ratio) ทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยมีสาเหตุหลักจากมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ซึ่งช่วยชะลอผลกระทบต่อลูกหนี้และธนาคารพาณิชย์ และทำให้ผลกระทบที่แท้จริงไม่ปรากฏในตัวเลข NPL

สำหรับปี 2564 เราอาจเห็น NPL ratio ทั้งระบบเพิ่มขึ้นจากการสิ้นสุดของบางมาตรการให้ความช่วยเหลือ นอกจากนั้น ข้อมูลคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์จะสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของภาคธุรกิจไทยในหลายอุตสาหกรรมที่มีมาตั้งแต่ก่อนวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้แล้ว ซึ่งหากย้อนกลับไปดูข้อมูลในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะพบว่าภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะธุรกิจในอุตสาหกรรมการผลิต ภาคค้าปลีกค้าส่ง และธุรกิจโรงแรมและที่พักมีความเปราะบางสะสมตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยวิกฤตครั้งนี้เป็นเพียงหนึ่งปัจจัยที่มาซ้ำเติมสถานการณ์ของภาคธุรกิจไทยให้ยิ่งแย่ลงกว่าเดิม และส่งผลให้ปัญหาคุณภาพสินเชื่อภาคธนาคารรุนแรงมากขึ้น โดยปัญหาดังกล่าวเริ่มส่อเค้ามาตั้งแต่ปี 2558 สะท้อนจากสัดส่วน NPL ratio ที่เร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยมาอย่างต่อเนื่อง และที่น่ากังวลคือ ปัญหาที่ธุรกิจกำลังเผชิญอยู่นี้อาจเป็นผลจากความเสี่ยงทางธุรกิจในระดับอุตสาหกรรม (industry-wide risk) มากกว่าที่จะเป็นผลมาจากพฤติกรรมของลูกหนี้หรือปัญหาความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้แต่ละราย

อุตสาหกรรมการผลิตนับเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยทั้งในแง่การสร้างมูลค่าเพิ่มและการจ้างงาน ด้วยขนาดที่ใหญ่ถึง 27% ของ GDP และมีการจ้างงานสูงถึง 14% ของผู้มีงานทำทั้งหมด แต่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวกลับปรับลดลงต่อเนื่อง เป็นผลจาก 2 ส่วน ได้แก่ (1) ปัจจัยภายนอก ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก ผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นหลัก และ (2) ปัจจัยภายในจากการสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันของไทย ทั้งจากสินค้าและระบบโครงสร้างการผลิตที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนไป ต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น และเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า โดยผลกระทบที่ตามมานอกจากรายได้ที่หายไปคือ การปิดกิจการของโรงงาน หรือการย้ายฐานการผลิต (Relocation) ออกจากไทยไปยังประเทศอื่นที่มีความพร้อมมากกว่า เช่น เวียดนาม ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วกับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้แรงงานเข้มข้น และกำลังเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมส่งออกหลักของไทย รวมแล้วคิดเป็น 49% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด

อุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่งถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยรองจากอุตสาหกรรมการผลิต ด้วยขนาดที่ใหญ่ถึง 17% ของ GDP ในปัจจุบันโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในประเทศไทยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ (1) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade) ซี่งเป็นผู้เล่นหลักของอุตสาหกรรมในระยะหลัง เช่น ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เกต ไฮเปอร์มาร์เกต และร้านสะดวกซื้อรูปแบบต่างๆ เป็นต้น และ (2) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งดั้งเดิม (Traditional Trade) ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก เช่น ร้านค้าปลีกค้าส่งทั่วไป ร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า และร้านขายของชำ เป็นต้น โดยตั้งแต่ปี 2558 พบว่า NPL ของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย 3 ใน 4 เป็น NPL ที่เกิดจากการผิดนัดชำระหนี้ของธุรกิจร้านค้าขนาดเล็กแทบทุกประเภท โดยเป็นผลจาก (1) รายได้ของร้านค้าขนาดเล็กซึ่งส่วนมากเป็นร้านค้าแบบ Traditional Trade ได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากการเข้ามาแย่งส่วนแบ่งรายได้ของร้านค้า Modern Trade (2) ขนาดตลาดในประเทศที่เล็กลงและขาดโอกาสในการปรับตัวเพื่อหาโอกาสการเติบโตใหม่ๆ และ (3) การขยายตัวของร้านค้าที่ขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ ธุรกิจ “e-Commerce”

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เริ่มเห็นสัญญาณผลกระทบจากการขยายตัวของธุรกิจโรงแรมและที่พักมาตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 จากภาวะ “อุปทานล้นตลาด” สะท้อนจากอัตราการเข้าพักขยายตัวชะลอลง โดยเฉพาะหลังปี 2558 ที่อัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวขยายตัวชะลอลงต่อเนื่องจนกระทั่งติดลบในปี 2562 สวนทางกับจำนวนโรงแรมและที่พักที่ยังคงเปิดใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ การแข่งขันด้านราคา ระหว่างผู้ให้บริการ ส่งผลให้ราคาห้องพักโดยเฉลี่ยปรับตัวลดลง กระทบต่อรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ให้บริการด้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ที่ส่วนใหญ่มีข้อจำกัดด้านต้นทุนการดำเนินงานและปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ดังนั้น แม้ภาครัฐจะมีการคลายมาตรการ lockdown และมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจโรงแรมและที่พักเริ่มกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง แต่หากไทยยังไม่สามารถเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ สถานการณ์ของธุรกิจโรงแรมโดยรวมอาจจะยิ่งน่าเป็นห่วงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะการใช้จ่ายของคนไทยกันเองไม่สามารถชดเชยผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากรายได้ที่สูญเสียไปจากการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติได้หมด

นอกจากนี้ การสนับสนุนด้านองค์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจหรือการปรับตัวในกรณีต่างๆ และความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน เทคโนโลยี และการเข้าถึงตลาดก็เป็นสิ่งจำเป็นในระยะยาว เพราะการช่วยเหลือเยียวยาด้วยมาตรการเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่ธุรกิจอาจจำเป็นในการประคับประคองธุรกิจและการจ้างงานในระยะสั้น หรือมาตรการที่เป็นลักษณะเหมารวม หรือ one size fits all ที่ไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างของปัญหาในแต่ละประเภทอุตสาหกรรม อาจไม่ตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ธุรกิจไทยในหลายอุตสาหกรรมเผชิญมาตั้งแต่ก่อนวิกฤตโควิด-19 

ดังนั้น สิ่งที่ควรพิจารณาควบคู่ไปด้วยคือแนวนโยบายที่ชัดเจนในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย การส่งเสริมการยกระดับประสิทธิภาพของภาคการผลิตไทยด้วยการใช้เทคโนโลยีและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะรายเล็กและกลางด้วยการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงตลาด เทคโนโลยี และองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการที่ทันสมัย ประกอบกับการปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อลดอุปสรรคต่างๆ และลดอำนาจตลาดของรายใหญ่ สร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกันและเป็นธรรมมากขึ้น อันจะนำไปสู่การยกระดับของอุตสาหกรรมของประเทศโดยรวมที่กระจายอย่างทั่วถึงมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน
กำลังโหลดความคิดเห็น