กรมพัฒนาธุรกิจการค้าลุยปั้น “ร้านค้าปลีกค้าส่ง” ในการดูแลเข้าไประดมทุนตลาดหุ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ เผยกำลังอยู่ระหว่างการแต่งตัว 2-3 ราย หลังก่อนหน้านี้ทำสำเร็จ มี 2 รายเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้แล้ว
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ กำลังอยู่ระหว่างการผลักดันร้านค้าปลีกค้าส่งที่อยู่ในการส่งเสริมและได้รับการพัฒนาจากกรมฯ ซึ่งปัจจุบันมีร้านต้นแบบจำนวน 213 รายเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ได้เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ สามารถผลักดันเข้าไปจดทะเบียนและมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว 2 ราย คือ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) ที่เชียงราย และบริษัท เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น จำกัด (มหาชน) ที่หาดใหญ่ เพราะถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทย
“กรมฯ จะเข้าไปช่วยเหลือและผลักดันให้มีการเข้าไปจดทะเบียนเพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเห็นแวว 2-3 ราย เพราะมีความเข้มแข็ง มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเขากำลังแต่งตัวอยู่ คาดว่าอีกไม่นานจะมีความชัดเจนมากขึ้น หากทำเสร็จอีกก็จะแสดงให้เห็นว่าธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของคนไทยเก่ง และสามารถอยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงได้”
สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากการเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ก้าวไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ เพราะสามารถระดมเงินทุนมาใช้ในการขยายกิจการ เพิ่มจำนวนสาขา และแข่งขันกับธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่ได้ ทำให้ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของคนไทยมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ในปี 2564 กรมฯ มีแผนที่จะพัฒนาโชวห่วยให้มีความเข้มแข็ง โดยตั้งเป้าเข้าไปช่วยปรับวิธีการบริหารจัดการร้านค้าให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น ปรับโฉมร้านค้าให้มีความทันสมัย สินค้าต้องหาง่าย และต้องใส่ใจเรื่องสุขอนามัยที่ดี ร้านค้า สินค้า ต้องสะอาดปราศจากเชื้อโรค รวมทั้งจะผลักดันให้มีการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการร้านค้า เช่น ระบบการขายหน้าร้าน (Point of Sale : POS) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มกำไรให้แก่ธุรกิจ โดยถือเป็นสิ่งที่ไม่มีไม่ได้ในยุคปัจจุบัน ตั้งเป้าจะพัฒนาให้ได้ 3,500 ราย และในจำนวนนี้ 500 รายจะผลักดันให้นำระบบ POS มาใช้
ทั้งนี้ ยังจะผลักดันให้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์ควบคู่กับการขายสินค้าหน้าร้าน (Omni-Channel) ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เพิ่มขึ้น ทั้งลูกค้ารายเดิมและลูกค้ารายใหม่ โดยโชวห่วยไม่จำเป็นต้องสร้างเว็บไซต์เป็นของตนเอง แต่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้กันอยู่เป็นประจำ เช่น แอปพลิเคชันไลน์ หรือเมสเซนเจอร์ เป็นช่องทางการตลาดให้แก่ผู้บริโภคในการสั่งซื้อสินค้า เพราะผู้คนในชุมชนส่วนใหญ่จะมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวกันอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพิ่มเติม แต่เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อ และผู้ขายก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้น โดยมีการจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าแบบดีลิเวอรี เช่น จักรยานยนต์ หรือจักรยาน เป็นต้น