ราคาทองคำดิ่ง หลังหลายฝ่ายเชื่อมั่นการกระจายวัคซีน COVID-19 จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว หนุนผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีพุ่ง กดดันนักลงทุนเทขายทองคำทำกำไรหันเข้าลงทุนพันธบัตรแทน ประเมินระยะสั้นยังเป็นทิศทางขาลง แต่ระยะกลาง-ยาวมีลุ้นรีบาวนด์
กระแสการลงทุนในช่วงนี้นอกเหนือจากดัชนีหลักทรัพย์ที่ขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือ1,544 จุดแล้ว อีกประเด็นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและประชาชนทั่วไป นั่นคือ การลดลงของราคาทองคำ หลังจากปีที่ผ่านมาปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ช่วงเวลานี้หลายร้านทองคำในประเทศหนาแน่นไปด้วยผู้ที่สนใจเข้ามาซื้อสะสม เพื่อหวังได้รับผลกำไรหากราคาทองคำกลับมาปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง
ต้องยอมรับว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ที่สร้างผลกระทบระดับมหภาคต่อระบบเศรษฐกิจโลกถือเป็นตัวแปรใหญ่ที่ส่งผลให้ราคาทองคำในปีก่อนปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยในปี 2563 ราคาทองคำในประเทศปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 30,400 บาท และต่ำสุดที่ระดับ 24,650 บาท โดยเฉพาะเดือนกรกฎาคมราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 3,150 บาท ทำให้ภาพรวมทั้งปีก่อนราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 5,300 บาท
แต่ปัจจุบัน สถานการณ์ของราคาทองคำได้เปลี่ยนไป เห็นได้จากช่วง 2 เดือนแรกของปี 2564 และต้นเดือนที่ 3 (มีนาคม) ราคาทองคำปรับตัวลดลงแล้ว 2,200 บาท โดยราคาสูงสุดอยู่ในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ระดับ 27,550 บาท แต่จากนั้นราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จนมาอยู่ที่ระดับ 24,400 บาท และยังมีความเป็นไปได้ที่อาจได้เห็นการปรับตัวลดลงอีก
การลดลงของราคาทองคำในประเทศสอดคล้องกับราคาทองคำฟิวเจอร์ซึ่งร่วงลงหลุดจากระดับ 1,700 ดอลลาร์/ออนซ์ เมื่อเร็วๆ นี้ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเงินเฟ้อ จนทำให้สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน เม.ย. ร่วงลง 11.30 ดอลลาร์ หรือ 0.66% แตะที่ 1,689.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีดีดตัวขึ้นแตะระดับ 1.579% นั่นเพราะการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ในการถือครองทองคำ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะดึงดูดให้นักลงทุนหันเข้าซื้อพันธบัตร และเทขายทองคำเพื่อปรับพอร์ตการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัย
ถ้อยแถลงที่ส่งผลต่อการย่อตัวของราคาทองคำของประธานเฟด มาจากมุมมองที่เชื่อว่า การที่สหรัฐฯ กลับมาเปิดเศรษฐกิจ หลังมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ จะทำให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้น ขณะที่การปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้อในช่วงเวลานี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และยังไม่มีความรุนแรงเพียงพอที่จะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ก่อนที่การระบาดของ COVID-19 จะเริ่มขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นเหนือ 1.5% จนกดดันทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยอย่างหนัก พร้อมกับหนุนให้ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนจนเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำเพิ่ม ขณะที่ดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ปิดร่วง 345.95 จุด อยู่ที่ 30,924.14 จุด จากความกังวลเรื่องอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ของรัฐบาลสหรัฐฯ กับการเปลี่ยนกลุ่มเล่นหุ้นออกจากบริษัทเทคโนโลยี
ไม่เพียงเท่านี้ที่ผ่านมายังพบว่ากองทุนทองคำขนาดใหญ่อย่าง “กองทุน SPDR Gold Trust” ยังลดการถือครองทองคำลงอย่างต่อเนื่องถึง 77 ตันในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2564 หรือคิดเป็น 30% ของการซื้อสุทธิในปี 2563 ที่ 275 ตัน สะท้อนว่ากองทุนขนาดใหญ่และธนาคารกลางบางประเทศลดสถานะการถือครองทองคำเพื่อทำกำไร
และสิ่งที่น่าสนใจอีกประการ นั่นคือ ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น หลังจากกลุ่มโอเปกพลัสประกาศว่า พวกเขาจะคงอัตราการตัดลดการผลิตน้ำมันดิบเอาไว้ตามเดิมในเดือนเมษายน เช่นเดียวกับซาอุดีอาระเบียที่ยืนยันว่า จะคงอัตราการตัดลดการผลิตน้ำมันดิบไว้ที่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวันต่อไป ท่ามกลางความกังวลว่า การฟื้นตัวของความต้องการพลังงานโลกยังคงเปราะบาง
โดยสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า เวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต (WTI) งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 2.55 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.2% ไปอยู่ที่ 63.83 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 3.10 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.8% ไปอยู่ที่ 67.17 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ต้องยอมรับว่าการเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจของประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” เริ่มออกดอกออกผล เมื่อเขายืนยันว่า ชาวอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่จะได้รับการฉีดวัคซีน COVID-19 ทุกคนภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งเร็วกว่ากำหนดถึง 2 เดือน โดยการฉีดวัคซีนในวงกว้างจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้น
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ลงมติให้ความเห็นชอบต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ และขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา ก่อนที่จะส่งให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามรับรองเป็นกฎหมาย ซึ่งคาดว่า กระบวนการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเสร็จสิ้นก่อนวันที่ 15 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่มาตรการช่วยเหลือผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 จะหมดอายุลง
โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รายงานว่าเศรษฐกิจอเมริกายังคงฟื้นตัวในระดับปานกลางในช่วงสัปดาห์แรกๆ ของปีนี้ และภาคธุรกิจมองในแง่บวกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าและอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งกลับพบการฟื้นตัวค่อนข้างช้าในตลาดแรงงาน
สำหรับทิศทางราคาทองคำต่อจากนี้ หลายฝ่ายมองว่ากำลังอยู่ในช่วงขาลง โดยนักลงทุนเชื่อมั่นว่าเมื่อมีวัคซีน COVID-19 กระจายออกมาในวงกว้าง จะทำให้เศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว จึงทำให้เงินไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ และทองคำ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย เข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นนั่นทำให้แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในเดือนมีนาคมยังคงมีทิศทางใกล้เคียงกับช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่ยังคงแกว่งตัว แม้ว่าจะได้รับแรงหนุนหลังจากที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ มีถ้อยแถลงที่บ่งชี้ว่าเฟดจะดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจต่อไป เพราะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนทองคำ อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อในขณะนี้ยังอยู่ในระดับไม่น่าเป็นห่วง จึงยังไม่เร่งรีบในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี ปัจจัยลบสำคัญที่กดดันราคาทองคำในรอบนี้กลับเป็นการกระจายวัคซีนที่มีความคืบหน้า จึงทำให้เฟดมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ประเด็นนี้จึงสกัดการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำมากกว่า นอกจากนี้ ในส่วนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่เริ่มกลับมาแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร ที่ได้รับแรงกดดันจากการกระจายวัคซีนในสหภาพยุโรปที่กระจายได้น้อยกว่าภูมิภาคอื่นจึงส่งผลกระทบต่อค่าเงินยูโร อีกทั้งกองทุนทองคำ เช่น SPDR ก็ยังคงขายทองคำต่อเนื่อง ดังนั้น ตามสัญญาณทางเทคนิคของทางคำในระยะกลางยังคงเป็น sideway down
ไม่เพียงเท่านี้ ยังพบสัญญาณการเทขายทองคำอย่างต่อเนื่องจากผู้ค้ารายใหญ่ โดยเดือนกุมภาพันธ์ มีแรงเทขายมากกว่า 60 ตัน ถือเป็นปัจจัยชี้นำที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น นักลงทุนระยะสั้นควรชะลอการลงทุน
และอีกปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามนั่นคือ ตอนนี้เงินในระบบเยอะมาก สะท้อนจากที่ไหลไปลงทุนตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ (Bitcoin) พุ่งสูงสุดต่อเนื่องมาประมาณ 3 เดือน ซึ่งจะเห็นว่าสภาพเงินเฟ้อสูงมาก คนไม่อยากเก็บเงินสด เงินร้อนก็ออกไปซื้อคริปโตฯ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่เวลาจะอัดฉีดเงินก็พิมพ์เงินออกมาใหม่ได้ทันที แต่ทองคำและบิตคอยน์มีความแตกต่างกันในแง่ความผันผวนของราคา โดยราคาบิตคอยน์มีความผันผวนมากกว่าทองคำ ซึ่งนักลงทุนจะต้องเข้าใจความเสี่ยงว่าสามารถขาดทุนได้ทันทีหลังเข้าลงทุนทำให้ในระยะสั้น หลายฝ่ายเชื่อว่าการลงทุนในทองคำยังมีปัจจัยลบกดดัน แต่ในระยะกลางถึงยาว การคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำยังเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ โดยหลายฝ่ายยังเชื่อว่าราคาทองคำมีโอกาสรีบาวนด์กลับไปถึงระดับ 1,800-1,900 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนในประเทศโอกาสปรับขึ้นทดสอบ 26,000 บาทก็ยังมีความเป็นไปได้