ราคาน้ำมันขยับขึ้นมากกว่า 2% ในวันพุธ (3 มี.ค.) พบคลังปิโตรเลียมสำรองสหรัฐฯ ลดลงอย่างมาก ส่วนวอลล์สตรีทปิดลบ จากแรงขายกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่ทองคำแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 9 เดือน หลังดอลลาร์แข็งค่า
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 1.53 ดอลลาร์ ปิดที่ 61.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 1.37 ดอลลาร์ ปิดที่ 64.07 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ข้อมูลของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (อีไอเอ) พบคลังสำรองน้ำมันเบนซิน ลดลงเหนือ 243.5 ล้านบาร์เรล ส่วนสต๊อกน้ำมันกลั่น ลดลงเหลือ 143 ล้านบาร์เรล แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2003
สต๊อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ ลดลงอย่างมาก หลังกำลังการกลั่นลดลงมากสุดเป็นประวัติการณ์ แตะระดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา สืบเนื่องจากสภาพอากาศหนาวสุดขั้วในเทกซัส ส่งผลให้ต้องระงับการกลั่น
ในทางกลับกัน อีไอเอพบว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐฯ ในสัปดาห์เดียวกัน เพิ่มขึ้นถึง 21.6 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 484.6 ล้านบาร์เรล
ด้านตลาดหุ้นสหหรัฐฯ ปิดลบในวันพุธ (3 มี.ค.) โดยเฉพาะแนสแดคดิ่งลงอย่างหนัก นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่กำลังบินสูง และหันเข้าหาภาคอื่นๆ ที่ถูกมองว่าน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ตามหลังโครงการฉีดวัคซีนโควิด-19 และแพกเกจเยียวยาใกล้ผ่านความเห็นชอบของครองเกรส
ดาวโจนส์ ลดลง 121.43 จุด (0.40 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 31,270.09 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 50.57 จุด (1.31 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,819.72 จุด แนสแดค ลดลง 361.04 จุด (2.70 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 12,997.75 จุด
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รายงานว่า เศรษฐกิจอเมริกายังคงฟื้นตัวในระดับปานกลางในช่วงสัปดาห์แรกๆ ของปีนี้ โดยภาคธุรกิจมองในแง่บวกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าและอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งกลับพบการฟื้นตัวค่อนข้างช้าในตลาดแรงงาน
ในขณะที่การฉีดวัคซีนได้รับคาดหมายว่าจะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แต่ข้อมูลพบว่านายจ้างเอกชนสหรัฐฯมีการจ้างงานน้อยกว่าที่คาดหมายไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวอย่างช้าๆ
ส่วนราคาทองคำในวันพุธ (3 มี.ค.) แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 9 เดือน หลังดอลาร์แข็งค่าและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ สูงขึ้น โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 17.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,715.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา : รอยเตอร์)