“อีซี่ทรัส” คาดแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบปี 64 ขยายตัวต่อเนื่องหลังเดือน ธ.ค.ยอดคำสั่งซื้อโครงหลังคาล่วงหน้าจากค่ายอสังหาฯ ขยายตัวเพิ่มกว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 วางเป้ายอดขายปี 64 โต 15% แย้มเจรจา เอสซีจี นำสินค้าร่วมโซลูชันเจาะตลาดไฟติ้งแบรนด์รองรับการแข่งขันสูง
นายสรพล คงรอด กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮาส์ เฟรนด์ลี่ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตโครงหลังคาเหล็กสำเร็จรูปแบรนด์ อีซี่ทรัส (EASY TRUSS) ผู้ผลิตและจำหน่ายโครงหลังคาแบบโครงถัก กล่าวว่า แนวโน้มตลาดโครงสร้างหลังคาแบบโครงถักสำเร็จรูปในปี 64 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 63 เนื่องจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์หันมาให้น้ำหนักกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการลูกค้ากลุ่ม New Normal ซึ่งเปลี่ยนพฤติกรรมจากการเลือกซื้อโครงการคอนโดมิเนียมเปลี่ยนมาซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบเนื่องจากต้องการพื้นที่ในการพักอาศัยและการทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ โดยปกติแล้วในการวางสเปกวัสดุก่อสร้างในการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จะมีการวางแผน และสั่งสเปกวัสดุก่อสร้างก่อนเริ่มงานก่อสร้าง 1-2 เดือน หรือก่อนการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งในช่วงเดือน ธ.ค.นี้ มีบริษัทอสังหาฯ สั่งสเปกโครงโครงหลังคาแบบโครงถักเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรในปี 64 มีการขยายตัวต่อเนื่องจากปี 63 โดยเมื่อเทียบปริมาณการสั่งซื้อล่วงหน้าในเดือน ธ.ค.63 เทียบกับปี 62 ว่ามีคำสั่งซื้อเข้ามามากกว่าช่วงเดียวกันของปี 62 กว่า 20%
“จากแนวโน้มการขยายการลงทุนโครงการบ้านจัดสรรที่เพิ่มมากขึ้นของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ในปี 64 นี้ บริษัทปรับเป้ารายได้และยอดขายโครงหลังคาแบบถักอีซี่ทรัส เพิ่มขึ้นจากปี 63 ประมาณ 15%”
นายสรพล กล่าวว่า ทั้งนี้การปรับเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น 15% จากปี 63 ของบริษัทเป็นผลมาจากแนวโน้มการลงทุนพัฒนาโครงการการจัดสรรโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนความร่วมมือกับเครือเอสซีจี ซึ่งมีการนำเสนอสินค้าไปยังกลุ่มลูกค้าในรูปแบบโซลูชัน โดยขณะนี้อยู่ในช่วงของการเสนอพอร์ตสินค้าเสนอต่อเอสซีจี คาดว่าในช่วงต้นปี 64 นี้จะได้ข้อสรุปและแนวทางการทำตลาดร่วมกัน
โดยปกติแล้วเครือเอสซีจีมีสินค้ากลุ่มโครงหลังคาสำเร็จรูปทำตลาดอยู่แล้ว แต่รูปแบบการทำการตลาดเป็นการทำแบบนำเสนอโซลูชันสดุก่อสร้างบ้านที่ครบวงจรให้แก่ลูกค้า แต่สินค้าของเอสซีจี เป็นสินค้าในกลุ่มตลาดกลางบน ขณะที่ตลาดโครงหลังคามีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรงหลังจากเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้งานก่อสร้างในตลาดปรับตัวลดลง ผู้ประกอบการต้องการระบายสินค้าทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
ขณะเดียวกัน กำลังซื้อของลูกค้าในตลาดที่ลดลงมีผลต่อการเลือกใช้สินค้า และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งหันไปเน้นให้ความสำคัญกับราคาต่ำมากขึ้น ทำให้ เอสซีจี ตัองเพิ่มไลน์สินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างในไตลาดไฟติ้งแบรนด์ จึงหาพันธมิตรโครงหลังคาเข้ามาเสริมพอร์ตสินค้า เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เน้นวัสดุก่อสร้างที่มีต้นทุนไม่สูง โดยเฉพาะในกรณีที่ลูกค้าต้องการโครงหลังคาราคาไม่สูงมาก แต่ยังคงต้องการสินค้าในกลุ่มอื่นๆ ของเอสซีจี
“หรือรองรับความต้องการลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างแบบโซลูชันของเอสซีจี แต่ต้องการโครงหลังคาที่มีราคาย่อมเยาลงมาซึ่งเอสซีจี สามารถนำสินค้าของพันธมิตรเสนอขายร่วมกับโซลูชันสินค้าของเอสซีจีได้”
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 63 นี้เนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีผลให้การแข่งขันในตลาดโครงหลังคาสำเร็จรูปรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับราคาเหล็กในตลาดโลกซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการทำโครงหลังคาปรับตัวสูงขึ้น 10-15% ในขณะที่บริษัทไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นตามต้นทุนเหล็กในตลาดโลกทำให้ในปี 63 ยอดขายของบริษัททรงตัวจากปี 62 ที่ผ่านมา