xs
xsm
sm
md
lg

CPALL ฟื้นตัวต่อเนื่อง รายได้ - กำไรปี 64 สดใส

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประเมินทิศทางธุรกิจ “ซีพี ออลล์” แนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้เพิ่งถูก “ทริส เรทติ้ง” ลดเกรดจากการก่อหนี้ซื้อ Tesco สวนทางราคาหุ้นเริ่มดีดตัว หลังโบรกฯเชื่อกำไรปีนี้ลด และเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปีหน้า โดยเฉพาะการขยายสาขาออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

หลังจากราคาร่วงลงมาแตะ 53.75 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 30ต.ค. 2563 ดูเหมือนจากนั้นราคาหุ้นพยายามไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันยืนเหนือ 60.00 บาทต่อหุ้นเป็นแน่ชัด และมีความเป็นไปได้ที่จะมากขึ้นกว่าปัจจุบันที่ระดับ 62.50 - 64.50 บาทต่อหุ้น สำหรับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL)

เหตุผลหนึ่งสำหรับการไต่ระดับขึ้นมาของราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ต่างให้น้ำหนักไปที่ ทิศทางธุรกิจ ใกล้ถูกปลดล็อก เนื่องจากการควบรวมกิจการของ Tesco ในไทยและมาเลเซีย คาดจะสามารถเสร็จสิ้นได้ภายในเดือนธันวาคมนี้ ขณะที่ค่า P/E ปี2564 อยู่ที่ระดับ 28 เท่า ถือว่า ต่ำกว่ากลุ่มค้าปลีกที่ 30 เท่า จึงมีมุมมองบวกในระยะยาวต่อ CPALL ใน Theme ของ Environment, Social, Governance (ESG) เป็นบวกต่อการไหลเข้าของกระแสเงินทุนต่างชาติ

แม้ก่อนหน้านี้เล็กน้อย CPALL เพิ่งถูก “ทริสเรทติ้ง” ปรับลดอันดับเครดิตเป็น A+ จากเดิม AA- เหตุ โครงสร้างทุนอ่อนแอลงจาการก่อหนี้เพื่อลงทุน40% เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) - Tesco Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. มูลค่า 9.6 หมื่นล้าน เพราะบริษัทต้องกู้เงินเพื่อลงทุนในครั้งนี้ จึงคาดว่าเงินกู้ครั้งนี้จะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 6 เท่าจากระดับ 4.1 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 76% จากระดับ 70% ณ เดือนกันยายน 2563

โดยต้องยอมรับว่า เหตุผลของ “ทริสเรทติ้ง”น่าสนใจไม่น้อย เพราะแสดงให้เห็นว่าผลประกอบการของบริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการที่รายได้ของ 7-Eleven ลดลงเป็นอย่างมาก ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 โดยอยู่ที่ระดับ 4.1 แสนล้านบาทลดลง 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบกับอัตราการเติบโต 8%-11% ต่อปีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

จากข้อมูลพบว่า ยอดขายในสาขาเดิมของ 7-Eleven หดตัวลงเป็นระยะเวลา 3 ไตรมาสติดต่อกัน โดยจำนวนลูกค้าลดลงอย่างมากโดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศที่ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ในทางตรงกันข้าม แม็คโคร มีผลการดำเนินงานในระดับที่ดี โดยมียอดขายติดลบในไตรมาสที่ 2 และกลับมาเติบโตในระดับ 3.9% ในไตรมาสที่ 3

นั่นทำให้อัตรากำไรของบริษัทปรับตัวลดลง กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ระดับ 3.6 หมื่นล้านบาท ลดลง 5.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ระดับ 2.7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากโรคโควิด-19 ยังคงส่งผลลบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และลดทอนจำนวนนักท่องเที่ยวต่อเนื่องในปี 2564 แต่คาดว่าสถานการณ์จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการพัฒนาวัคซีนให้มีใช้อย่างแพร่หลาย

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งซึ่งเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ การเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทย ลักษณะของธุรกิจค้าปลีกที่สามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน การมีเครือข่ายสาขาที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วประเทศ และการมีธุรกิจสนับสนุนที่เข้มแข็ง ดังนั้น จึงคาดว่าแหล่งที่มาของการชำระหนี้เงินกู้ในดีลดังกล่าว จะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า นั่นหมายถึงทิศทางอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ภายหลังการซื้อกิจการครั้งนี้จะค่อย ๆ ปรับตัวลดลงอยู่ในระดับต่ำกว่า 5 เท่าในปี 2566

ล่าสุด “เกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาต” Chief Financial Officer บมจ.ซีพี ออลล์ แสดงความเห็นต่อทิศทางธุรกิจของบริษัทว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 ยังมีความท้ายทายอยู่ เนื่องจากในไตรมาส 4 ของทุกปี จะเป็นช่วงของไฮซีซั่นของธุรกิจที่จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย, มีการจัดงานเทศกาลต่างๆ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในช่วงท้ายปี

แต่ในปีนี้ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ตามปกติ โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้จะลดลงเหลือไม่ถึง 10 ล้านคน จากเดิมคาดจะอยู่ที่ 40 ล้านคน ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวชาวไทยเองก็ปรับตัวลดลง คาดจะลดลงเหลือราว 1 ล้านคน จากเดิม 3 ล้านคน

แม้ว่ารัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่ง และโครงการช้อปดีมีคืน แต่บางโครงการอาจจะใช้ร่วมกับทางร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขที่ทางภาครัฐกำหนด แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าบริษัทฯ จะไม่ได้รับผลกระทบทางตรง แต่ยังได้รับผลกระทบเชิงบวกในทางอ้อม เนื่องด้วยเมื่อมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ก็คาดหวังว่าจะมีส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนเหลือเข้ามายัง CPALL

ขณะที่ความคืบหน้าการควบรวมเทสโก้ โลตัส ภายหลังจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) อนุมัติให้ควบรวมกิจการได้แบบมีเงื่อนไขนั้น ปัจจุบันบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในเงื่อนไขต่างๆ และวิเคราะห์ถึงผลกระทบว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่อย่างไร ก่อนตกลงรับเงื่อนไขและแจ้งให้กับทางผู้ขาย หรือเทสโก้ โลตัส ประเทศอังกฤษเตรียมดำเนินการต่อไป

สำหรับ งบลงทุนบริษัทฯ ยังคงงบลงทุนไว้ที่ 1.15 – 1.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น การขยายสาขาให้ครบ 700 สาขาตามเดิม และการปรับปรุงร้านสะดวกซื้อ 7-11 รวมถึงการลงทุนตามปกติในเรื่องของระบบ IT ขณะที่เบื้องต้นในปี 64 ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 700 สาขา 

โดยการขยายสาขาร้าน 7-Eleven อย่างต่อเนื่องนั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายมีสาขาครบ 13,000 สาขาภาย ในปี2564 เมื่อเทียบกับปี 2562 ได้ขยายสาขาร้าน 7-Eleven รวม 724 สาขา ผลักดันให้สิ้นปี 62 มีสาขารวมทั้งสิ้น 11,712 สาขา แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 5,107 สาขา (คิดเป็น 44%) ,ต่างจังหวัด 6,605 สาขา (คิดเป็น 56%) ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร้าน 7-Eleven เฉลี่ยประมาณวันละ 12 ล้านคน

ขณะที่ความคืบหน้าซื้อหุ้นเทสโก้ โลตัส (Tesco Lotus) หากได้รับการอนุมัติ บริษัทจะดำเนินการศึกษาถึงแหล่งเงินต่อไป แต่ช่องทางการออกหุ้นกู้จะเป็นช่องทางหนึ่งที่สามารถกระทำได้

อย่างไรก็ดี จากการที่ CP ALL LAOS CO., LTD. ได้รับสิทธิแฟรนไชส์ในการจัดตั้งและดำเนินการร้าน 7-Eleven ในประเทศลาวเป็นระยะเวลา 30 ปี โดยคู่สัญญาอาจตกลงต่ออายุสัญญาได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 20 ปี นั้น มองว่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายตลาดในต่างประเทศให้กับบริษัทมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ CPALL ปิดดีลขยายสัญญาแฟรนไชส์ร้าน 7-Eleven ลงกัมพูชา ระยะเวลา 30 ปี มีสิทธิต่อสัญญาได้อีก 40 ปี ซึ่งจะเป็นการปลดล็อกเติบโตระยะยาวให้กับบริษัทได้ เพราะกลุ่มประเทศดังกล่าวเป็นประเทศที่กำลังเติบโต มีประชากรมากมีความต้องการบริโภค และได้รับความนิยมในการท่องเที่ยว

ส่วนการขยาย MAKRO ในต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีการเปิดสาขาให้บริการที่กัมพูชา 2 สาชา ได้แก่ที่พนมเปญ และเสียมเรียบ, จีน 1 สาขา และอินเดีย 1 สาขา โดยในตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดและพัฒนาสาขาให้ตอบโจทย์กับความต้องการของท้องถิ่นให้ได้มากที่สุด

ด้าน บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินทิศทางธุรกิจ CPALL ว่ายังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อบริษัท โดยปัจจัยบวกระยะยาวจากการได้รับสิทธิแฟรนไชส์เปิดร้าน 7-Eleven ในกัมพูชาและลาว เช่นเดียวกับการลงทุนใน เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ Tesco Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. (พึ่งได้รับอนุญาตจาก กขค. เมื่อต้นเดือนพ.ย. เป็นการอนุญาตแบบมีเงื่อนไข)

นอกจากนี้ ระยะสั้น CPALL ได้ปัจจัยบวกอ่อนๆ จากข่าวความคืบหน้าการผลิตวัคซีนของ Pfizer (นักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น-มีจำนวนการเข้าใช้บริการ7-Eleven ต่อร้านต่อวันสูงขึ้น อีกทั้งยังได้รับผลบวกทางอ้อมจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค/ช่วยเหลือของภาครัฐ ปัจจุบัน ประมาณการกำไรสุทธิปี63 ที่ 1.89 หมื่นล้านบาท ( ลดลง 14.98% จากปีก่อน) ก่อนจะกลับมาขยายตัวที่ 2.17 หมื่นล้านบาท เติบโต 14.71% จากปีก่อน ในปี 64 ดังนั้น แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 82.25 บาท

ด้าน บล.เมย์ แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่า แม้ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการสะท้อน การเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ฟื้นตัวช้ากว่าคาด แต่แนวโน้มกำไรเป็นทิศทางขาขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3/63 เป็นต้นไป เนื่องจาก SSSG ติดลบน้อยลงและอัตรากำไรฟื้นตัว รวมทั้งอาจได้อานิสงส์ทางอ้อมจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค อีกทั้งการขยายสาขายังเป็นไปตามเป้าหมาย แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายใหม่ 83 บาท

ส่วน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แสดงความเห็นว่า จากกรณีที่ ศบศ.อนุมัติ 4.3 หมื่นล้าน กระตุ้นการบริโภคในประเทศต่อเนื่องถึงไตรมาส 1 ปีหน้า “คนละครึ่ง” เฟส 2 เปิดเพิ่ม 5 ล้านราย รัฐร่วมจ่าย 3,500 บาท รวม 3 เดือน พร้อมเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการอีกเดือนละ 500 บาท พร้อม ขยายเวลาและเพิ่มเงื่อนไขใหม่ เราเที่ยวด้วยกัน

เรื่องดังกล่าวมองเป็นบวก และเงื่อนไขดีกว่าที่คาดทั้งในแง่ของวงเงินและกรอบเวลาจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ได้มีการขยายเวลาเพิ่มครอบคลุมไปยัง ไตรมาส1/64 ทั้ง 3 มาตรการ สำหรับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เชื่อมต่อไปยัง ไตรมาส2/64 (เดือนเม.ย) ขณะที่เม็ดเงินที่จะเข้าในตลาด เบื้องต้นคาดทั้ง 2 โครงการกว่า 4 หมื่นล้านบาท จะช่วยหนุนกำลังซื้อในตลาดให้เพิ่มขึ้น ขณะที่โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน นอกจากจะช่วยในเรื่องเม็ดเงินในตลาดยังช่วยในกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวโดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวใหญ่ๆ เพื่อช่วยทดแทนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ขาดหายไป

ดังนั้น คงคำแนะนำ กลุ่ม “มากกว่าตลาด” โดยคาดว่ากำลังซื้อมีมาตรการภาครัฐช่วยรองรับ ในหลายมาตรการ ซึ่งเม็ดเงินจะเห็นการจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้นนอกจากจะเกิดในช่วงไตรมาส4/63 ยังมีความต่อเนื่องไปยังไตรมาส1/64 ขณะที่ช๊อปดีมีคืนคาดว่าจะเห็นเม็ดเงินในตลาดในช่วงเดือน ธ.ค.ทั้งนี้การค้นพบวัคซีนโควิด-19 ที๋คืบหน้าจะเป็นอีกปัจจัยบวกหนุนต่อกลุ่มฯเพิ่ม นอกจากนี้เชื่อว่าในปี 2564 จะยังมีมาตรการอื่นๆเพิ่ม หุ้นแนะนำ BJC CRC CPALL

บล.เคจีไอ แสดงความเห็นต่อทิศทางธุรกิจ CPALL ว่า ยังคงมุมมองว่าผลการดำเนินงานของบริษัท จะค่อยๆฟื้นตัว แต่อาจเป็นไปได้ในอัตราที่ช้ากว่าที่เคยมองไว้ ส่งผลให้การเติบโตของกำไร CPALL ในปี 2564 มีความน่าสนใจน้อยกว่ากลุ่ม แม้ว่าจะมีการ re-rate PER เพื่อสะท้อนข้อสรุปจากเรื่องการเข้าซื้อกิจการ แต่ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2564 ที่ 67 บาท มี Upside จากราคาปิดเพียงแค่ 7% เราจึงปรับคำแนะนำจาก "ซื้อ" เป็น "ถือ"

นอกจากนี้ แนวโน้มไตรมาส 4/63 อาจท้าทายท่ามกลางปัจจัยลบหลายประการ โดยประเมินว่า SSSG ไตรมาส4/63 อยู่ที่ประมาณ -12% ถึง -14% ทำให้ SSSG ปี 2020 ของ CPALL อยู่ที่ - 13% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายประการ ได้แก่ ข้อจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ รวมถึงฤดูฝนที่ยาวนานขึ้นและการใช้จ่ายภายในประเทศอย่างระมัดระวังจากภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับฐานที่สูงปีก่อน (เนื่องจากไตรมาส 4 เป็น peak season) ทำให้ปีหน้ายังมีความท้าทายเนื่องจากอุตสาหกรรมค้าปลีกมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคและเทคโนโลยีจึงมีการปรับกลยุทธ์เช่นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ / บริการเพิ่มเติม / ช่องทางอื่น ๆ

ล่าสุด CPALL กำลังพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ หลังจากสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าไทย (OTCC) อนุมัติการเข้าครอบครองกิจการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเทสโก้ เงื่อนไขตัวอย่างคือ 1.ห้ามรวมธุรกิจกับรายอื่นในตลาดค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่เป็นเวลา 3 ปี 2) ห้ามใช้ข้อมูลร่วมกัน หรือ แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับซัพพลายเออร์หรือราคา และ 3) เอก - ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเต็ม ซึ่งดำเนินการเทสโก้โลตัสต้องรักษาเงื่อนไขสัญญาและข้อตกลงกับผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ที่มีอยู่เป็นเวลา 2 ปี  ทำให้ได้พิจารณาการจัดหาเงินกู้จากการเข้าทำข้อตกลงนี้โดยมีสมมติฐานการจัดหาเงินกู้ 100% พร้อมดอกเบี้ยที่ 4.0% และปรับปรุงสมมติฐานเพื่อให้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวช้าลง โดยสรุปจึงปรับประมาณการกำไรลงประมาณ 11-18% ในช่วงปี 2563-2564 ผลประกอบการของ CPALL คาดว่าจะหดตัว 20% ในปี 2563 ตาม

“เกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาต” Chief Financial Officer บมจ.ซีพี ออลล์


กำลังโหลดความคิดเห็น