xs
xsm
sm
md
lg

“สาธิต วิทยากร” ซื้อ BH ขยายฐานลูกค้า-เสริมแกร่ง PRINC

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ดร.สาธิต วิทยากร” เดินหน้าขยาย รพ.ในจังหวัดรอง ให้ประชาชนพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ เป้าหมายปี 2556 เครือ PRINC ครบ 20 แห่ง เชื่อหลังซื้อ “ บำรุงราษฎร์” เอื้อประโยชน์และเสริมกำลัง เพราะ BH มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญระดับโลก แต่ฐานลูกค้ากระจุกในเมือง ขณะ PRINC มีเครือข่ายคลุมต่างจังหวัด จึงจะเกิดการร่วมมือกันได้ โบรกฯมอง WIN WIN ทั้ง 2 ฝ่ายให้ราคา 4.80-5.30 บาท

ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ทุกประเทศทั่วโลกต้องปิดประเทศ นักท่องเที่ยวหดหาย การเข้าใช้บริการในโรงพยาบาลต้องชะงักงัน ผลประกอบการลดลง ผลที่ตามมาคือ กำไรที่หายไป และกว่าจะกลับมาย่อมต้องใช้เวลา ไม่ใช่ในเร็ววัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลที่เน้นลูกค้าหรือคนไข้ต่างประเทศนั้น ก็ชัดเจนว่ากว่าลูกค้ากลับมาต้องรอให้เปิดประเทศเต็มที่ เพราะการตั้งเงื่อนไขที่เข้มงวด ทำให้คนไข้ไม่อาจเข้ามาได้ในทางปฏิบัติ ผลคือลูกค้ากลุ่มสำคัญนี้หายไปแทบจะหมด และการรอการค้นพบวัคซีน หรือวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงพอ กว่าจะถึงวันนั้นโดยธรรมชาติแล้ว ชาวต่างชาติที่เป็นโรคเหล่านั้นมักจะเป็นโรคที่ค่อนข้างร้ายแรง เมื่อกลับมารักษาในไทยไม่ได้ก็จะต้องหาหมอในประเทศหรือที่อื่น และถ้าต้องรักษานานมีโอกาสที่จะไม่กลับมาเมืองไทยอีกแล้วก็เป็นได้

ดังนั้น หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล หรือ Healthcare ทั้งกลุ่มจะได้รับผลกระทบจากผู้ป่วยต่างชาติที่หายไป การบังคับใช้ Social Distancing และแผนการลดต้นทุนอย่างเข้มงวด เพื่อลดผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท สำหรับระยะสั้น โบรกเกอร์หลายสำนักคาดจำนวนผู้ป่วยที่ลดลงในช่วงครึ่งหลังปี 63 อาจกลับมาปกติในปี 64 แต่นับจากโควิด-19 ระบาดหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลคืออีกกลุ่มหลักที่ผลประกอบการย่ำแย่และโบรกเกอร์แนะนำให้หลีกเลี่ยง ซึ่งน่าจะเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการโรงพยาบาลเลือกจะปรับเปลี่ยนการลงทุนหรือตัดใจขายหุ้นออก

จึงไม่น่าแปลกใจนักเพราะเมื่อต้นปี 2563 วงการธุรกิจโรงพยาบาลสะเทือน เมื่อบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า จะเข้าทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ในราคาหุ้นละ 125 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 85,612,731,500 บาท แต่เมื่อพบว่าการระบาดหนักของไวรัสโควิด-19 กระทบหนักช่วงเดือนมีนาคม ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว สายการบิน ยังผลไปถึงการเดินทางเพื่อเข้ามารักษาโรคต่างๆ ของชาวต่างชาติที่เคยมารับการบำบัดรักษาในไทยไม่อาจกระทำได้ ดังนั้น การซื้อขายหุ้นดังกล่าวจึงชะลอ เพราะคณะกรรมการหรือบอร์ดของ BDMS ตัดสินใจเลื่อนการประชุมผู้ถือหุ้นออกไปจากกำหนดเดิมคือเดือนมีนาคม อย่างไม่มีกำหนด ส่งผลให้ราคาหุ้น BH ร่วงหนักในช่วงนั้น ขณะเดียวกัน BDMS ก็ไม่ใช้สิทธิแปลงสภาพหุ้นกู้ BH เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2563 ด้วย ส่งผลให้กลุ่ม BDMS ไดรูทเหลือ 22.9%

อย่างไรก็ดี เช้าวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา นางนฤมล น้อยอ่ำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน BDMS แจ้งว่า BDMS ได้เข้าทำสัญญาขายหุ้นสามัญ BH ที่บริษัทถืออยู่ ทั้งหมด 180,715,806 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 22.71% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของ BH ให้แก่ผู้ซื้อ ราคาหุ้นละ 103 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 18,613.7 ล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทได้รับการยืนยันจากผู้ซื้อเกี่ยวกับความแน่นอนของแหล่งเงินทุนที่จะขายเงินลงทุนในหุ้นสามัญ BH บางส่วนผ่านกระดานซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในเบื้องต้น 90,500,000 หุ้น ที่ราคา 103 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่า 9,321.5 ล้านบาทได้ ภายในวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา ยังผลให้เป็นที่สนใจของผู้ที่อยู่ในแวดวงนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

กระทั่งประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC ดร.สาธิต วิทยากร ออกมาแจ้งว่าได้เข้าไปลงทุนซื้อหุ้น BH จำนวน 90.5 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 103 บาท รวมมูลค่า 9,321.50 ล้านบาทจาก BDMS และยังสนใจส่วนที่เหลืออีก 11.34% ของทาง BDMS ที่ถืออยู่ใน BH ด้วย นั่นถือเป็นการเผยโฉมบุคคลที่จะทุ่มเงินมาใส่ธุรกิจที่หลายคนอาจมองว่าซบเซา แต่นั่นกลับจะเป็นการหนุนและเอื้อประโยชน์ต่อกันมากขึ้น

“การซื้อหุ้น BH ครั้งนี้ คาดหวังจะใช้ศักยภาพของทาง BH ที่มีการให้บริการให้กับทาง PRINC ซึ่งมีโรงพยาบาลในเครือข่ายส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัดให้ได้รับการบริการอย่างทั่วถึง และดีลนี้ถือเป็น Friendly due และไม่มีจุดประสงค์ในการเข้าไปบริหารหรือเป็นคณะกรรมการแต่อย่างใด และคงจะศึกษาหาโอกาสร่วมกันในอนาคต ขณะที่เป้าหมายของธุรกิจโรงพยาบาลในเครือของ PRINC ต้องการจะให้ครบ 20 แห่ง และเปิดคลินิกทั่วประเทศ 100 แห่ง ภายในระยะ 2 ปีข้างหน้าหรือในปี 2565 เพื่อสร้างเครือข่ายการให้บริการครอบคลุมระหว่างภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีโรงพยาบาลในเครือข่ายรวม 11 แห่ง ใน 10 จังหวัด” นายสาธิต กล่าวไว้

PRINC เก็บ BH เอื้อหนุนธุรกิจ?

การเคลื่อนไหวและข่าวฮือฮาของผู้ที่เข้ามาเก็บหุ้น BH แต่เมื่อเผยตัวออกมา ดร.สาธิต วิทยากร ประธานกรรมการบริหาร PRINC ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะเขาผู้เป็นทายาท นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ วิทยากร ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลกรุงเทพ นั่นเอง ซึ่งยอมรับว่าได้เจรจาซื้อหุ้น BH กับนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BDMS

สำหรับการซื้อหุ้นครั้งนี้ ดร.สาธิต ชี้แจงว่า เป็นการซื้อในนามส่วนตัว และจะส่งผลให้ PRINC เข้ามาถือหุ้นอันดับ 2 ใน BDMS แต่การบริหารและการดำเนินงานของ PRINC ไม่น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะไม่ได้เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น BH และ PRINC ไม่อยู่ในฐานะที่จะซื้อหุ้น BH จาก BDMS ด้วย เพราะผลประโยชน์จากการลงทุนใน BH จะเกิดขึ้นกับ ดร.สาธิต เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการซื้อในนามส่วนตัว แต่ในส่วนของ PRINC จะทำงานร่วมกัน (synergy) กับ BH ในลำดับถัดไป เพราะ BH มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญระดับโลกจำนวนมาก แต่มีฐานลูกค้ากระจุกอยู่เพียงในเมือง ขณะที่โรงพยาบาลเครือ PRINC มีเครือข่ายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ จึงน่าจะมีการร่วมมือกันทางการแพทย์ได้ เพื่อที่สามารถมาดูแลคนไข้ในต่างจังหวัดผ่านโรงพยาบาลในเครือ PRINC ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (Telemedicine) เพื่อช่วยให้รักษาผู้ป่วยได้ดีขึ้น

เบื้องต้น จะเปิดคลินิกแพทย์เฉพาะทางของ BH ในโรงพยาบาล PRINC สาขาต่างจังหวัด แต่คิดราคาแบบ PRINC ที่มีแพทย์ ระบบคุณภาพของบำรุงราษฎร์ ทำให้ PRINC ได้ประโยชน์ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทร่วมมือกับ Bumrungrad Health Network ตั้งศูนย์ความเป็นเลิศรักษาโรคเฉพาะทางในด้านต่างๆ เช่น โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ที่เปิดศูนย์กระดูกสันหลัง Absolute Spine Care และศูนย์ข้อเข่าและข้อสะโพก Joint Surgery Center ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดี เพราะผ่านมา BH มุ่งที่คนไทยมากขึ้น ไม่ได้เน้นเฉพาะชาวต่างประเทศ จึงคิดว่าน่าจะมีการ synergy กันได้ดี

ปัจจุบัน โรงพยาบาล PRINC มีโรงพยาบาลในเครือข่ายที่เปิดดำเนินการแล้ว 10 แห่ง และอีกแห่งจะเปิดช่วงมีนาคม 2564 โดยแต่ละแห่งมีขนาดต่างกัน เช่น โรงพยาบาลพิษณุเวช จังหวัดพิษณุโลก มีขนาดใหญ่ ประมาณ 180 เตียง โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี และโรงพยาบาลพิษณุเวช อุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีขนาดเล็ก ประมาณ 60 เตียง

โดยโรงพยาบาล PRINC เป็นโรงพยาบาลเพื่อชุมชน สามารถสร้างงานให้ชุมชน อีกทั้งยังจะทำให้แพทย์และพยาบาลได้กลับบ้านในจังหวัดต่างๆ รวมถึงในพื้นที่ขาดแคลน ซึ่ง BH มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญระดับโลก จะได้เห็นภาพการ synergy โดยที่ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการต่างๆ แต่จะทำในด้านการแพทย์ ที่จะไปรักษาในชุมชน ต่างจังหวัด โดยใช้เทคโนโลยีมาช่วย ดังนั้นบริษัทจะลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยี เพื่อเข้าไปดูแลคนไข้ในราคาที่ไม่แพงในพื้นที่ต่างจังหวัดได้ ถือว่าเป็นโปรเจกต์ที่ท้าทาย ถือว่าเอาเทคโนโลยีมาเป็นตัวเชื่อม เพื่อสร้างการเจริญเติบโตให้แก่บริษัทได้ดีและเร็วขึ้น

ทั้งนี้ ผลประกอบการปี 2562 โรงพยาบาล PRINC เติบโตทั้งโรงพยาบาลที่มีอยู่แล้วและโรงพยาบาลใหม่ ทว่าปี 2563 เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ส่งผลให้รายได้ช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. ลดลง 30% หลังจากนั้นได้ฟื้นตัวกลับมา 15% อย่างไรก็ตาม PRINC ก็ยังโชคดีที่มีโรงพยาบาลใหม่เข้ามาเสริม ทำให้จำนวนคนไข้ในเครือไม่ลดลง ดังนั้นทั้งปี 2563 ยังคงประคองตัวไปได้ และยังคงแผนการขยายธุรกิจตามดิม คือเปิดโรงพยาบาลใหม่เฉลี่ยปีละ 3 แห่ง

สำหรับ PRINC เดิมคือบริษัท เมโทร พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ METRO โดย ดร.สาธิต วิทยากร  ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมเมื่อปี 2556 และเปลี่ยนชื่อมาเป็น PRINC และกลายเป็นบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จากนั้นก็ทำธุรกิจ อสังหาฯ อยู่ 2 ปี จากสินทรัพย์เริ่มต้น 1.4 พันล้านบาท ขยายโครงการลงทุนต่างๆ กระทั่งมีมูลค่ารวม 5 พันล้านบาท แต่แล้วเมื่อปี 2558 ก็หันมาทำธุรกิจโรงพยาบาล และเปลี่ยนหมวดจดทะเบียนจากกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาสู่ธุรกิจการแพทย์ (Health Care Services) พร้อมประกาศแผนรุกธุรกิจบริการสุขภาพเต็มตัว

กระทั่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลในเครือนับสิบแห่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลในต่างจังหวัด ขณะที่ผลประกอบการไม่ดี เพราะขาดทุนติดต่อหลายปี กล่าวคือปี 2560 มีผลขาดทุนสุทธิ 345.10 ล้านบาท ปี 2561 ขาดทุน 173.40 ล้านบาท ปี 2562 ขาดทุนสุทธิ 181.72 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกปีนี้ขาดทุนสุทธิ 423.95 ล้านบาท ดังนั้น จึงไม่มีการจ่ายเงินปันผล ทำให้หุ้นไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากนัก

อย่างไรก็ดี ในส่วนของการเทรดของหุ้น PRINC ซึ่งก่อนหน้านั้นมูลค่าซื้อขายหุ้น PRINC มีประมาณวันละ 1 ล้านบาท แต่หลังมีข่าวการซื้อหุ้น BH ทั้งราคาและมูลค่าการซื้อขายหุ้นพุ่งขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันราคายังขยับขึ้นไปต่อเทรดเหนือ 3 บาทกว่าแล้ว ล่าสุดเมื่อ 1 ธันวาคม ราคาหุ้นปิดที่ 3.42 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาทหรือเพิ่มขึ้น 2.94% มูลค่าซื้อขาย 18.60 ล้านบาท

โบรกฯ ให้ราคา 4.80-5.30 บาท

ดร.สาธิต วิทยากร ผู้ถือหุ้นใหญ่ PRINC เป็นผู้คร่ำหวอดในการทำงานบริหารธุรกิจเครือข่ายโรงพยาบาลมากว่า 30 ปี โดยปี 2553 ดร.สาธิต ได้เริ่มต้นสร้างธุรกิจเครือข่ายโรงพยาบาลขึ้น ภายใต้ชื่อบริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือของ PRINC และใช้ความรู้ความสามารถด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์มาประยุกต์ใช้กับการบริหารธุรกิจโรงพยาบาลแบบเครือข่าย ส่งผลให้ประสบความสำเร็จสูงในด้านการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ อีกทั้งยังเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาระบบสาธารณสุข และระบบการศึกษาของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพสูง โดยทั้ง 2 ระบบนี้มีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ เพราะกลยุทธ์ที่วางให้แก่ บริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด คือเน้นการบริหารโรงพยาบาลด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทีมผู้บริหารกว่า 30-40 ปี สร้างการบริการที่ได้มาตรฐานและความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ผู้รับบริการ พร้อมใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและยกระดับการให้บริการผู้ป่วย ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการโรงพยาบาล เชื่อมโยงการบริหารโรงพยาบาลในเครือให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยเป้าหมายจัดตั้งโรงพยาบาลในจังหวัดรอง เพื่อกระจายโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพในราคายุติธรรม อีกทั้งยังเป็นการแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลรัฐด้วย พร้อมตั้งเป้ามีโรงพยาบาลในเครือทั่วประเทศ 20 แห่งภายในปี 2566

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า ภายหลังจาก “ดร.สาธิต วิทยากร” เข้าไปถือหุ้น BH คาดว่าจะมี synergy ร่วมกันโดยการจัดตั้งศูนย์มะเร็งภาคอีสานก่อนคือที่ จ.อุบลราชธานี และภาคเหนือตอนล่าง ที่ จ.พิษณุโลก ดังนั้น เบื้องต้นโบรกฯ ประเมินว่าดีลดังกล่าวจะส่งผล WIN WIN ทั้ง 2 ฝ่าย โดย PRINC จะได้ความเชี่ยวชาญจาก BH ส่วน BH ก็จะได้เรื่องของการส่งต่อคนไข้จาก PRINC ด้วย จึงถือเป็นการเติมเต็มระหว่างกัน และ PRINC (ไม่ได้ COVER) ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวก อิงจาก PBV อยู่ที่ 1.4 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มโรงพยาบาลด้วยกันเฉลี่ย PBV อยู่ที่ 3 เท่า หากอิง PBV ที่ 2.5 เท่า จะใกล้กับ PBV ของกลุ่มโรงพยาบาลขนาดกลาง ประเมินกรอบราคาเบื้องต้น 4.80-5.30 บาท








กำลังโหลดความคิดเห็น