หลังจากพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่องนับจากช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เริ่มมีเสียงเตือนจากโบรกเกอร์บางสำนักว่า ราคาหุ้นกลุ่มนี้ไม่ถูกแล้ว
หุ้นกลุ่มธนาคารอยู่ในรอบขาลงมาหลายปี รวมทั้งปีนี้ โดยราคาหุ้นทรุดลงหนักมาก เนื่องจากความกังวลในปัญหาหนี้เสีย ซึ่งจะทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองหนี้เผื่อสงสัยจะสูญมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อกำไรจากการดำเนินงาน
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นข่าวร้ายที่ซ้ำเติมหุ้นกลุ่มธนาคารจนโงหัวไม่ขึ้น
ก่อนหน้านี้ โบรกเกอร์แทบทุกสำนักแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มธนาคาร เพราะยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวในระยะสั้น
แต่ข่าวความคืบหน้าการผลิตวัคซีนต้าน “โควิด-19” กระตุ้นตลาดหุ้นให้กลับสู่ความคึกคัก หุ้นกลุ่มธนาคารจึงกระเตื้องขึ้น โดยราคาขยับตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และถือเป็นการปรับตัวขึ้นรอบใหญ่
การฟื้นตัวของหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ตีคู่มากับหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยเฉลี่ยหุ้นทั้ง 2 กลุ่มปรับตัวขึ้นมารอบนี้ประมาณ 50% แต่หุ้นธนาคารขนาดใหญ่หรือหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่บางตัวก็ปรับตัวขึ้นมากกว่า 50%
การดีดตัวแรงของหุ้นธนาคารทำให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บางคนกังวล เพราะราคาวิ่งแซงหน้าราคาเป้าหมายที่โบรกเกอร์ประเมินไว้ ขณะที่ปัญหาหนี้เสียของธนาคารยังน่ากังวลอยู่ ส่วนสินเชื่อชะลอตัว รวมทั้งผลประกอบการไตรมาสที่ 4 อาจชะลอตัวกว่าไตรมาสที่ 3
นอกจากนั้น ผลประกอบการปีหน้าไม่ได้สดใสนัก แม้จะเติบโตขึ้นจากปีนี้ แต่ไม่มากนัก ราคาหุ้นจึงไม่ควรตอบรับความคาดหวังอนาคตผลดำเนินงานมากเกินไป
ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK กับธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB รอบประมาณ 6 สัปดาห์วิ่งมาแรงมาก โดยเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา KBANK ลงไปต่ำสุดที่ 70 บาท แต่ปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายนที่ 113.50 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 60%
เช่นเดียวกับ SCB แตะจุดต่ำสุดที่ 61 บาท แต่ล่าสุดปิดที่ 89.25 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 60%
ส่วนแบงก์กรุงเทพ หรือ BBL เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ 90 บาท ล่าสุดปิดที่ 122.50 บาท เพิ่มขึ้นไม่ถึง 40%
ค่า/พี เรโชของ 3 แบงก์ใหญ่ BBL, KBANK และ SCB เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ระดับ 4% เศษถึง 7% ในเชิงปัจจัยพื้นฐานถือว่า ราคาหุ้นไม่ได้แพงเกินไป แต่เนื่องจากแรงกดดันจากปัญหาหนี้เสีย อาจทำให้กำไรของกลุ่มธนาคารลดลง และทำให้ปัจจัยพื้นฐานกลุ่มธนาคารอ่อนแอลงด้วย
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์โบรกเกอร์บางค่าย จึงส่งสัญญาณเตือนนักลงทุนอย่าหลงระเริงเก็งกำไร เพราะราคามาไกล และหุ้นธนาคารส่วนใหญ่ราคาวิ่งล้ำหน้าราคาเป้าหมายไปแล้ว
ถ้าไม่มีข่าวดีชิ้นใหม่เข้ามาหนุน ถ้าการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ยังไม่มีความคืบหน้าในอนาคตอันใกล้ หุ้นธนาคารอาจต้องพักฐานกันชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม การที่หุ้นธนาคารฟื้นกันยกแผง หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ดีดกลับขึ้นมาระดับ 50% เนื่องจากแรงซื้อของต่างชาติ ดังนั้น หุ้นธนาคารยังจะไปต่อได้หรือไม่ หุ้นธนาคารแพงไปหรือยังจะต้องถามใจต่างชาติ
ถ้าแรงซื้อต่างชาติยังไม่ถอย หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ก็อยู่ในเป้าหมายที่ต่างชาติเล็งไว้ ราคาจึงมีโอกาสไปต่ออีกสักหน่อย
แม้ว่าราคาแถวนี้จะเริ่มแพง และยั่วยวนให้ขายทำกำไรก็ตาม