แม้ว่า ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 3 จะยังย่ำแย่ จากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ราคาหุ้นธนาคารขนาดใหญ่กลับทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง 2 วันติดๆ จนเกิดคำถามว่า หุ้นธนาคารกำลังจะฟื้นแล้วหรือ
ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ออกมาแล้ว โดยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มีกำไรสุทธิ 4,017.49 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนที่กำไรสุทธิ 9,438.41 ล้านบาท รวมงวด 9 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 14,782.98 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27,813.71 ล้านบาท
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ไตรมาสที่ 3 มีกำไรสุทธิ 6,679 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9,951 ล้านบาท รวมงวด 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 16,229 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 29,924 ล้านบาท
ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ไตรมาสที่ 3 มีกำไรสุทธิ 4,641.38 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนที่กำไรสุทธิ 14,798.35 ล้านบาท รวมงวด 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 22,252.15 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 34,930.46 ล้านบาท
แม้ผลกำไรของธนาคารขนาดใหญ่จะทรุดหนักต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 2 และคาดว่า ในไตรมาสที่ 4 ในปีนี้ยังไม่กระเตื้องขึ้น แต่ปรากฏว่า ราคาหุ้น BBL KBANK และ SCB กลับปรับตัวขึ้นสวนผลประกอบการที่ทรุดลง
พิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ทั้ง 3 แห่ง ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจมาก โดย BBL มีค่าพี/อี เรโช ที่ 6.21 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน 7.63% KBANK มีค่าพี/อี เรโช ที่ 6.13 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน 6.83 % และ SCB มีค่าพี/อี เรโช 5.49 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน 10.20%
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ไม่มีวิกฤต “โควิด-19” คุกคาม ไม่มีสถานการณ์เมืองที่ตึงเครียด ไม่เกิดกรณีการลุกฮือของม็อบคณะราษฎร หุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ทั้ง 3 ตัว นักลงทุนคงซื้อกันโดยไม่ต้องคิด เพราะไม่มีความเสี่ยงใดๆ สามารถซื้อเก็บกินเงินปันผลระยะยาวได้
แต่ เนื่องจากตลาดหุ้นไม่ได้อยู่ในภาวะที่ปกติ มีข่าวร้ายกระหน่ำใส่รอบด้าน และแนวโน้มผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์อาจทรุดต่อไป ไม่เฉพาะไตรมาส 4 เท่านั้น แต่อาจยืดเยื้อถึงปีหน้า ทำให้ค่าพี/อี เรโช สูงขึ้น ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้เท่าเดิม
ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน อาจเปราะบางลงในอนาคต โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จึงยังไม่เชียร์ให้ช้อนซื้อหุ้นแบงก์
เพราะปัญหาหนี้เสียเป็นสิ่งที่บั่นทอนความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มแบงก์ราคาหุ้นแบงก์ที่ทะยานขึ้น และเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนดัชนีหุ้นให้ถอยห่างจากระดับ 1,200 จุด อาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เนื่องจากก่อนหน้าราคาไหลลงมาลึก จนนักลงทุนอาจมองว่าซึมซับรับผลประกอบการที่ย่ำแย่ไปหมดแล้ว
เมื่อประกาศผลประกอบการ จึงทยอยกันเข้ามาช้อนเก็บ จนราคาดีดกลับ
แต่ปัจจัยที่จะกระตุ้นให้หุ้นแบงก์กลับสู่ช่วงขาขึ้น ราคาหุ้นเด้งขึ้นยาวๆ ยังมองไม่เห็น ขณะที่ ความกังวลในปัญหาหนี้เสียยังคงอยู่ และจะเป็นตัวเหนี่ยวรั้งให้ราคาหุ้นขยับไปไม่ไกล
จะ ลุยหุ้นแบงก์จึงต้องเข้าออกไว เพราะน่าจะเหมาะสำหรับการเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่า ขึ้นมาแรงๆ ต้องชิงจังหวะขาย