xs
xsm
sm
md
lg

กำไรกลุ่มแบงก์ Q3 วูบ คุณภาพหนี้กดดัน Q4 ทรุดต่อ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลุ่มแบงก์ไตรมาส 3 กำไรรวมวูบ 44.85% หรือเหลือเพียง 29,688 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะแบงก์แต่ละแห่งช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ขณะบางรายปิดกิจการไม่สามารถชำระหนี้คืนธนาคารได้ ส่งผลให้แบงก์พาเหรดกันสำรอง-เน้นคุมคุณภาพหนี้ หวั่นแนวโน้มตัวเลขเอ็นพีแอลเพิ่ม หลังสิ้นสุดโครงการพักชำระหนี้และดอกเบี้ย แนวโน้ม Q4 คุณภาพหนี้กดดันหนัก คาดธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจะเร่งจัดการปัญหาหนี้เสียในเชิงรุกมากขึ้น ด้วยการตัดขายหนี้ด้อยคุณภาพและเร่งปรับโครงสร้างหนี้

แม้ว่าหลายๆ สำนักจะประเมินกันแล้วว่า เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในไตรมาสที่ 2 แต่ในมุมของธนาคารพาณิชย์นั้นอาจไม่ใช่ เพราะในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ได้รับดำเนินการตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการช่วยเหลือลูกหนี้ตามโครงการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยที่ทยอยหมดลงหลังจากเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อคุณภาพหนี้ ฐานะการสำรอง จนไปถึงผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ และส่วนหนึ่งได้สะท้อนมาที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3

กำไรรวมวูบ 44.85%

ภาพรวมกำไรไตรมาส 3 ปี 2563 ธนาคารพาณิชย์ไทย 10 แห่ง มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 29,688 ล้านบาท ลดลง 44.85% โดยธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 24,507 ล้านบาท ลดลง 22,598 ล้านบาท คิดเป็น 47.97% นำโดยธนาคารไทยพาณิชย์ มีกำไรลดลงในสัดส่วนสูงสุดที่ 68.64% และธนาคารกรุงเทพ -57.44% ธนาคารกรุงไทย -51.89% ธนาคารกสิกรไทย -32.89% และธนาคารกรุงศรีอยุธยา -6.86% ตามลำดับ

ส่วนธนาคารที่เหลืออีก 5 แห่งมีกำไรสุทธิรวม 5,181 ล้านบาท ลดลง 1,545 ล้านบาท คิดเป็น -22.97% นำโดยธนาคารซีไอเอ็มบีไทย มีกำไรลดลงในสัดส่วนสูงสุดที่ -77% และธนาคารแอลเอชแบงก์ -31.18% ธนาคารทหารไทย -23.3% ธนาคารเกียรตินาคินภัทร -16.34% และธนาคารทิสโก้ -14.22% ตามลำดับ

สำหรับรอบ 9 เดือนปี 2563 ธนาคารพาณิชย์ไทย 10 แห่ง มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 106,836 ล้านบาท ลดลง 33% โดยธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 86,198 ล้านบาท ลดลง 54,607 ล้านบาท คิดเป็น 38.78% นำโดยธนาคารกรุงเทพ มีกำไรลดลงใน สัดส่วนสูงสุดที่ 46.85% และธนาคารกสิกรไทย -45.77% ธนาคารกรุงไทย -39.16% ธนาคารไทยพาณิชย์ -36.30% และธนาคารกรุงศรีอยุธยา -25.30% ตามลำดับ

ส่วนธนาคารที่เหลืออีก 5 แห่งมีกำไรสุทธิรวม 20,638 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1979 ล้านบาท คิดเป็น 10.60% นำโดยธนาคารทหารไทย มีสัดส่วนกำไรเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 58.32% และธนาคารซีไอเอ็มบีไทยเพิ่มขิ้น 46.26% ธนาคารเกียรตินาคินภัทร -6.82% ธนาคารทิสโก้ -18.09% และธนาคารแอลเอชแบงก์ -20.69% ตามลำดับ

แห่กันสำรอง-เน้นคุมคุณภาพหนี้

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นสัญญาณการเริ่มฟื้นตัว แต่ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอนและมีความแตกต่างในแต่ละภาคส่วน ตั้งแต่การเริ่มระบาดของโควิด-19 ธนาคารได้ให้การช่วยเหลือลูกค้าแล้วกว่า 1.1 ล้านราย คิดเป็นยอดสินเชื่อภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน รวมประมาณ 840,000 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3 ลูกค้าส่วนใหญ่ของธนาคารสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติภายหลังสิ้นสุดระยะเวลาโครงการ และสำหรับลูกค้าที่ยังได้รับผลกระทบอยู่ ธนาคารยังคงให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้ลูกค้าผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้

ทั้งนี้ การลดลงของกำไรสุทธิธนาคารเป็นผลจากการตั้งเงินสำรองปกติที่สูงขึ้นในไตรมาสนี้ และการเทียบกับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายการกำไรพิเศษครั้งเดียวจากการขายหุ้นในบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิต

น.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ในรอบ 9 เดือนการลดลงของผลการดำเนินงานส่วนใหญ่เกิดจากการที่ธนาคารใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 17,692 ล้านบาท หรือ 70.24% โดยการคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบจากความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลงจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ประกอบกับมาตรการของทางการที่ให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ยังคงต้องมีการติดตามดูแลคุณภาพหนี้อย่างใกล้ชิด

แต่อย่างไรก็ตาม ในงวดไตรมาส 3 ธนาคารตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ลดลงจำนวน 9,377 ล้านบาท หรือ 46.44% หลักๆ เกิดจากในไตรมาสก่อนได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss) ในระดับที่สูง จากการประเมินและเตรียมความพร้อมตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลงจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 รวมถึงมาตรการของทางการที่ให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวว่า จากการพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ ประมาณการภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างรุนแรงและมีความไม่แน่นอน ที่อาจส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อ โดยในไตรมาสที่ 3 ธนาคารได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 12,414 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.6% เมื่อเทียบกับการตั้งสำรองในไตรมาสเดียวกันของปี 2562 โดยรอบ 9 เดือนธนาคารได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 35,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.7% จากค่าใช้จ่ายสำรองในช่วงเดียวกันของปี 2562

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)  กล่าวว่า คาดว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง และมาตรการทางการคลังของรัฐบาล รวมถึงมาตรการทางการเงินและสินเชื่อ จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 อย่างไรก็ตาม ความเปราะบางทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นทั่วโลก ซึ่งอาจจะนำไปสู่การหวนกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง รวมทั้งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลงของภาคธุรกิจในประเทศและภาคครัวเรือน ท่ามกลางการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่อ่อนแอ

ทั้งนี้ กรุงศรีฯ ยังคงให้ความสำคัญต่อการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่านมาตรการด้านสินเชื่อและการปรับโครงสร้างหนี้ ตลอดจนการสนับสนุนด้านสภาพคล่อง นอกจากนี้ ธนาคารจะดำเนินการติดตามและจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างรอบคอบระมัดระวัง เพื่อความแข็งแกร่งของพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร และมุ่งเน้นการกำกับดูแลด้วยความเข้มงวด เพื่อให้เชื่อมั่นว่าธนาคารมีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองในระดับสูงและเพียงพอที่จะรองรับกับความท้าทายทางการเงินและเศรษฐกิจ

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) ระบุว่า กำไรสุทธิที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเนื่องจากการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นเงินสำรองสำหรับความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวจากผลกระทบของสถานการณ์ โควิด-19 ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง พร้อมกันนั้น ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่หดตัวทั่วโลก ธนาคารกรุงเทพ ยังคงยึดมั่นแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ ควบคู่กับการดำรงฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน และเตรียมพร้อมการรองรับการดำเนินธุรกิจตามบริบทใหม่ 

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) กล่าวว่า ในไตรมาส 3 ภาพรวมการดำเนินงานยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ดี การทยอยรับรู้ผลประโยชน์จากการรวมกิจการถือเป็นปัจจัยหนุนในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ โดยภายหลังการรวมกิจการ ทั้งทีเอ็มบีและธนาคารธนชาตได้ดำเนินการปรับโครงสร้างเงินฝากและสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดผลประโยชน์ด้านงบดุล ซึ่งช่วยให้ธนาคารสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินและอัตราผลตอบแทนได้ดีขึ้น

สำหรับสินเชื่อที่อยู่ภายใต้โปรแกรมพักชำระหนี้นั้น ในส่วนของสินเชื่อลูกค้ารายย่อยกลุ่มแรกๆ ได้เริ่มทยอยครบกำหนดไปบ้างแล้ว และส่วนใหญ่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ดังนั้น ในไตรมาส 3 จึงเห็นสัดส่วนสินเชื่อภายใต้โปรแกรมพักชำระหนี้ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 20% ของสินเชื่อรวม เทียบกับ 40% ณ ไตรมาส 2 ขณะที่ลูกค้าธุรกิจรวมถึงเอสเอ็มอีนั้นจะเริ่มครบกำหนดปลายเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งก็จะส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อที่อยู่ภายใต้โปรแกรมพักชำระหนี้ทยอยลดลงเป็นลำดับในไตรมาสถัดไป

อย่างไรก็ดี ธนาคารตระหนักดีว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงต่อไปยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงมีแผนตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อเสริมกันชนในการรองรับความเสี่ยงให้มากยิ่งขึ้นไปอีก โดยในไตรมาส 3 ได้ตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นเป็น 6,863 ล้านบาท เทียบกับ 4,972 ล้านบาทในไตรมาส 2 ขณะที่สัดส่วนหนี้เสียทรงตัวอยู่ในระดับต่ำที่ 2.33% จาก 2.34% พร้อมกันนั้น ธนาคารก็ดำเนินการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ โดยมีการดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าปกติหรือลูกค้าที่อยู่ในโปรแกรมพักชำระหนี้ เพื่อทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ของลูกค้า ให้ความช่วยเหลือ รวมถึงดำเนินการบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกัน

นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้มีความรุนแรง อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับมาฟื้นตัวในระดับปกติ ดังนั้น สิ่งที่ทิสโก้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ก็คือการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและบริหารจัดการความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพที่สุด โดยคุณภาพสินเชื่อเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังต้องติดตามดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลือต่อเนื่อง โดยสิ่งที่น่ากังวลจากนี้คือ การว่างงานและรายได้ที่ลดลง ที่อาจกระทบต่อกำลังการใช้จ่าย ความสามารถในการชำระหนี้ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคตให้ยากลำบากขึ้น และเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ในไตรมาสนี้ทิสโก้ จึงยังคงตั้งสำรองหนี้ในระดับสูงเช่นเดิม อย่างไรก็ดี ทิสโก้ยังคงดำรงอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่แข็งแกร่งที่ 22.6% พร้อมกับระดับเงินสำรองที่สูงมาโดยตลอด

หวั่นตัวเลขเอ็นพีแอลเพิ่ม

ขณะที่ ภาพรวมของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารพาณิชย์ก็ยังคงคาดการณ์ในทิศทางขาขึ้น ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย รวมถึงสถานการณ์ภายหลังสิ้นสุดโครงการพักชำระหนี้ และดอกเบี้ย แม้ธนาคารแต่ละแห่งจะยังมีการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นรายกรณีตามความเหมาะสม แต่ก็ยังคงมีบางรายที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และไม่สามารถกลับมาชำระหนี้กับธนาคารได้เช่นกัน ซึ่ง ณ สิ้นสุดไตรมาส 3 ก็ได้เริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นของ NPL ของธนาคารพาณิชย์บางแห่ง เช่น ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 ธนาคารกสิกรไทยมี NPL gross อยู่ที่ระดับ 3.95% จากสิ้นปี 2562 อยู่ที่ระดับ 3.65% โดยธนาคารได้มีการติดตามให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งควบคุมดูแลคุณภาพสินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างใกล้ชิด

ธนาคารไทยพาณิชย์ มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 อยู่ที่ 3.32% เพิ่มขึ้นจาก 3.05% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อด้อยคุณภาพตามปกติ รวมทั้งธนาคารได้ทำการประเมินคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมดอย่างรอบคอบ เพื่อทำการจัดชั้นลูกหนี้เชิงคุณภาพในกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูง และมีแนวโน้มสูงที่จะฟื้นตัวไม่ได้ภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน

ขณะที่กรุงไทยมี NPLs Ratio-Gross ที่ 4.21% ลดลงจาก 4.33% โดยธนาคารยังคงให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงเกณฑ์ของ ธปท.ในการผ่อนปรนการจัดชั้นลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการชั่วคราว

คุณภาพหนี้กดดัน Q4 เร่งตัดขาย-ปรับโครงสร้างหนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า เมื่อจบไตรมาส 3 ปี 2563 สินเชื่อที่ได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารพาณิชย์จะมีสัดส่วนประมาณ 28.5% ต่อสินเชื่อรวม ลดลงเล็กน้อยจากสัดส่วนประมาณ 31.0% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 2 ปี 2563 เนื่องจากลูกหนี้บางส่วนกลับมาชำระคืนหนี้ได้ตามปกติหลังมาตรการช่วยเหลือรอบแรกทยอยสิ้นสุดลง

อย่างไรก็ดี การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้บุคคลและลูกหนี้ธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs หลังจากมาตรการพักหนี้สิ้นสุดลง ยังคงเป็นโจทย์ที่ยากและมีความท้าทายสำหรับธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากลูกหนี้กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังมีสถานะทางการเงินที่เปราะบาง ขณะที่สัญญาณอ่อนแอทางเศรษฐกิจยังลากยาวต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้กลุ่มนี้ได้อีกในอนาคต

รวมทั้งได้ประเมินคุณภาพสินเชื่อในพอร์ตถดถอยลงตามสัญญาณอ่อนแอของเศรษฐกิจไตรมาส 3 จะขยับขึ้นไปที่กรอบประมาณ 3.25-3.35% จากระดับ 3.21% ในไตรมาส 2 เนื่องจากยังอยู่ในช่วงของมาตรการพักชำระหนี้ของภาคธุรกิจ ประกอบกับ คาดว่าธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจะเร่งจัดการปัญหาหนี้เสียในเชิงรุกมากขึ้น ทั้งด้วยวิธีการตัดขายหนี้ด้อยคุณภาพ และเร่งปรับโครงสร้างหนี้

 นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี)

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY)

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB)


กำลังโหลดความคิดเห็น