หลังจากเป็นหุ้นที่ถูกเมิน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่แนะให้หลีกเลี่ยงการลงทุนมาพักใหญ่ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็กลับสู่ความคึกคักเต็มรูปแบบอีกครั้ง ราคาพุ่งทะยานอย่างร้อนแรง โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กลายเป็นหุ้นกล่มนำตลาด
หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกสิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และธนาคารไทยพาณิย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB มีแรงซื้อทะลักเข้ามา โดยคาดว่าน่าจะเป็นแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ
กลุ่มแบงก์อยู่ในช่วงขาลงมาหลายปี เนื่องจากความกังวลในปัญหาหนี้เสีย ทำให้ธนาคารมีภาระตั้งสำรองเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานที่ชะลอตัว และเห็นได้ชัดจากผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกในปีนี้
แต่ภาวะตลาดหุ้นที่ฟื้นตัวขึ้น โดยมีเงินทุนต่างชาติไหลกลับ ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์กลับสู่ความสนใจ เพราะราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ด้วยกัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า
ข่าวความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกจากกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกแล้ว ยังทำให้เกิดมุมมองในเชิงบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจด้วย
เพราะถ้ามีวัคซีนออกมาเมื่อไหร่ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจะและการท่องเที่ยว และทำให้แรงกดดันในปัญหาหนี้เสียในระบบธนาคารลดลง นักลงทุนจึงเริ่มทยอยเก็บหุ้นกล่มธนาคาร
ช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หุ้นธนาคารปรับตัวในระดับต่ำสุดในรอบปี โดย KBANK ลงไปต่ำสุดที่ 70 บาท SCB ต่ำสุดที่ 58 บาท และ BBL ต่ำสุดที่ 88 บาท
แต่ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ทั้ง 3 บริษัท ปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 50% โดย KBANK เมื่อวันศุกร์ปิดที่ 106 บาท SCB ปิดที่ 88 บาท และ BBL ปิดที่ 121 บาท
แม้จะปรับตัวขึ้นมาเร็ว แต่ถ้าเทียบปัจจัยพื้นฐานแล้ว หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ทั้ง 3 ตัวยังมีปัจจัยพื้นฐานรองรับที่แข็งแกร่ง โดยมีค่าพี/อี เรโช เฉลี่ยประมาณ 10 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทนประมาณเฉลี่ย 5%
ถ้าเทียบกับจุดสูงสุดในรอบ 12 เดือน KBANK, SCB และ BBL ยังมีช่องว่างในการทำกำไรที่เปิดอยู่ เพราะ KBANK มีจุดสูงสุดที่ 158 บาท SCB จุดสูงสุดที่ 123 บาท และ BBL จุดสูงสุดที่ 188 บาท
ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่อาจปรับตัวขึ้นมาล่อใจให้ทำกำไร โดยเฉพาะนักลงทุนที่ช้อนซื้อหุ้นต้นทุนต่ำไว้ แต่ หากต่างชาติยังยกทัพกลับเข้ามาลงทุน หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ยังเป็นเป้าหมายที่ต่างชาติจะช้อนซื้อคืน ดังนั้น กลุ่มธนาคารจึงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง
ถ้าพร้อมจะถือยาวสักหน่อย หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ เป็นอีกกลุ่มที่สามารถสร้างผลกำไรได้ในยามตลาดขาขึ้น ส่วนความเสี่ยงมีเพียงความสูงหรือความร้อนแรงของราคาหุ้นที่พุ่งทะยานขึ้นมาเท่านั้น
หุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและกลุ่มแบงก์ กลับเข้าสู่จอเรดาร์ของนักลงทุนต่างชาติอีกครั้ง และแม้นักลงทุนจะกลัวความสูง แต่ดูเหมือนว่า แรงซื้อของต่างชาติรอบนี้คงไม่หยุดลงง่ายๆ หุ้นขนาดใหญ่จึงยังอยู่ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น
รวมทั้ง หุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ที่มีโอกาสวิ่งได้ต่อ