หุ้นบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ถูกเทขายทันที หลังจากบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ประกาศขายหุ้น BH ที่ถืออยู่สัดส่วน 22.71% ของทุนจดทะเบียนให้นักลงทุนกลุ่มใหม่ ในราคาเพียงหุ้นละ 103 บาท
BDMS แจ้งตลาดหลักทรัพย์ก่อนเปิดการซื้อขายในวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ระบุว่า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 บริษัทได้ทำสัญญาขายหุ้น BH ที่ถืออยู่ทั้งหมดให้แก่ผู้ซื้อ จำนวน 180,715,806 หุ้น หรือสัดสวน 22.71% ของทุนจดทะเบียน ในราคาหุ้นละ 103 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 18,613.7 ล้านบาท
และภายในวันที่ 26 พฤศจิกายนนี้ จะทำรายการซื้อขายบิ๊กล็อต หรือการซื้อขายรายใหญ่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 90,500,000 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 9,321.5 ล้านบาท ส่วนหุ้นอีกจำนวน 90,215,806 หุ้น จะทำรายการซื้อขายภายในเดือนธันวาคมนี้
ราคาหุ้น BH ปรับตัวลงทันทีที่เปิดการซื้อขายในวันที่ 24 พฤศจิกายน โดยเปิดที่ 117 บาท ลดลง 6.50 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 115 บาท ลดลง 8.50 บาท หรือลดลง 6.88%
การปรับตัวลงของ BH ไม่ได้เกิดจากภาวะตลาดหุ้นที่เกิดการปรับฐานลง แต่เกิดจากผลบกระทบเชิงจิตวิทยาจากการที่ BDMS ประกาศขายทิ้งหุ้น BH ล้างพอร์ต ในราคาเพียงหุ้นละ 103 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาซื้อขายบนกระดานเกือบ 20%
คณะกรรมการ BDMS เคยมีมติเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 จะทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ หรือจัดทำคำเสนอซื้อหุ้น BH จากผู้ถือหุ้นรายอื่นทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 125 บาท ขณะที่ราคาซื้อขายบนกระดานเคลื่อนไหวอยู่ประมาณ 112 บาท
แต่การประกาศทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ ซึ่งจะนำไปสู่การครอบงำกิจการหรือเทกโอเวอร์ ถูกต่อต้านจากกลุ่มโสภณพนิช ซึ่งถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง จึงเป็นการเทกโอเวอร์อย่างไม่เป็นมิตร ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ ได้เข้ามาซื้อหุ้น BH เพิ่ม แสดงถึงการช่วงชิงการเก็บหุ้นจากนักลงทุนรายย่อย
ต่อมา วันที่ 26 สิงหาคม คณะกรรมการ BDMS มีมติยกเลิกการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้น BH โดยอ้างเหตุผลการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน
เบื้องหลังการขายหุ้น BH ของ BDMS ถูกตั้งข้อสังเกตไว้หลายด้าน บางส่วนมองว่า BDMS อาจมีความจำเป็นต้องใช้เงิน หรืออาจเป็นเพราะประเมินแล้ว แนวโน้มผลประกอบการของ BH อาจไม่สดใส จึงขายหุ้นทิ้ง
เพราะเมื่อต้นปี BDMS ยังมีความต้องการเทกโอเวอร์ BH ในราคาหุ้นละ 125 บาท แต่ปลายปีกลับเทขายล้างพอร์ตในราคาเพียงหุ้นละ 103 บาท
ผลประกอบการ BH มีกำไรเติบโตที่ดี เป็นหุ้นที่มีแนวโน้มสดใส อยู่ในความสนใจของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ แต่หลังเกิดวิกฤต “โควิด-19” ลูกค้าชาวต่างประเทศลดฮวบ ทำให้ผลประกอบการชะลอตัวลง โดยงวด 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 1,031.15 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,861.87 ล้านบาท
ค่าพี/อี เรโช BH ปัจจุบันอยู่ที่ 51.27 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 2.51% โดยก่อนที่ BDMS จะประกาศขายหุ้นทิ้ง ราคาหุ้น BH กำลังปรับตัวขึ้น เพราะความคาดหมายว่า จะมีวัคซีนต้าน “โควิด-19” ในอนาคตอันใกล้ ทำให้ต่างชาติกลับเข้ามาใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้น
การซื้อขายหุ้น BH ระหว่าง BDMS กับนักลงทุนกลุ่มใหม่ ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการบริหารงานของ BH และคงไม่มีผลกระทบใดต่อปัจจัยพื้นฐานของหุ้น แต่ไม่อาจผลกระทบในเชิงจิตวิทยา กรณีผู้ถือหุ้นใหญ่รายเก่าและรายใหม่ตกลงซื้อขายหุ้นกันในราคาเพียง 103 บาท
แต่ราคาหุ้นได้ซึมซับรับผลกระทบในเชิงจิตวิทยาไปแล้ว
ถ้าไม่ตะขิดตะขวงใจว่า ทำไม BDMS จึงขาย BH ราคาถูกจัง และถ้ามั่นใจว่า แนวโน้มผลประกอบการโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์จะกลับมาสดใสในเวลาอีกไม่นาน และพร้อมจะถือยาว
ราคาที่ปรับตัวลงมาครั้งนี้อาจเป็นโอกาสของนักลงทุนที่เฝ้ารอจังหวะเก็บ BH อยู่ก็ได้