ทิสโก้เวลธ์เดินหน้าเชียร์ลงทุนหุ้นเมกะเทรนด์ต่อเนื่อง เหตุนักลงทุนคลายกังวลขึ้นภาษีสหรัฐฯ หลังพรรคเดโมแครตไม่สามารถครองเสียงข้างมากสภาบน หนุนหุ้นเทคโนโลยีในกลุ่มเมกะเทรนด์ปรับพุ่งรับข่าว ชี้หุ้นอีคอมเมิร์ซเตรียมรับอานิสงส์ชอปปิ้งวันคนโสด
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr.Nattakrit Laotaweesap, Head Of Wealth Advisory of TISCO Bank Public Company Limited) เปิดเผยว่า หลังจากที่ชัดเจนแล้วว่า นายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และพรรคเดโมแครตได้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) แต่ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา (สภาบน) ได้ ทำให้นักลงทุนมองว่าการออกกฎหมายเกี่ยวกับการขึ้นภาษีนิติบุคคลอาจจะไม่ง่ายนัก เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวอาจจะไม่สามารถผ่านการพิจารณาจากวุฒิสภาที่ครองเสียงส่วนใหญ่โดยพรรครีพับลิกัน ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นรับข่าวทันที
นอกจากนี้ ในระยะยาวยังมีปัจจัยบวกด้านอื่นๆ ที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ จุดแข็งด้านรายได้และกำไรที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในอัตราสูง แม้จะอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดือนมีนาคม และการได้รับประโยชน์จากมาตรการ Lockdown เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของประเทศต่างๆ ด้วย เนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในวิถีชีวิตประจำวันมากกว่าสถานการณ์ในช่วงปกติ
"นับตั้งแต่การ Lockdown ในรอบแรก จนถึงไตรมาส 3 ของปีนี้ กลุ่มธุรกิจที่มีการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดเลย คือ กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการใช้คลาวด์ (Cloud Service) เห็นได้จากยอดขายและผลกำไรของบริษัทที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน เมื่อประเมินไปในอนาคต คาดว่ากลุ่มธุรกิจเหล่านี้จะมีโอกาสเติบโตต่อไปได้อีก ดังนั้น ธุรกิจเหล่านี้จึงจัดอยู่ในกลุ่มหุ้นเมกะเทรนด์ แตกต่างจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ที่เห็นได้ชัดอย่างจากผลกระทบของการ Lockdown อย่างอุตสาหกรรมสายการบิน และ ท่องเที่ยว" นายณัฐกฤติ กล่าว
สำหรับผลประกอบการของบริษัทชั้นนำของหุ้นกลุ่มนี้ เช่น บริษัท Amazon ที่มีธุรกิจทั้ง E-commerce และ Cloud Service มีรายได้ไตรมาส 3 อยู่ที่ 9.615 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 บริษัทยังได้คาดการณ์ว่า ยอดขายของ Amazon ในไตรมาส 4 จะอยู่ราว 1.12-1.21 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 28-38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กองทุนที่ลงทุนในหุ้นอีคอมเมิร์ซอย่าง กองทุน Amplify Online Retail ETF (iBUY:US) ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจอย่างมาก โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 96% เลยทีเดียว
ส่วนมุมมองการลงทุนในช่วงนี้ ทิสโก้เวลธ์มีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้นที่เป็นกลุ่มเมกะเทรนด์ เพราะประเมินว่าหุ้นกลุ่มนี้ยังคงได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาด COVID-19 ที่แต่ละประเทศเริ่มกลับมา Lockdown อีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยุโรปที่มีผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดือนมีนาคม ทำให้การดำรงชีวิตยังคงต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น การสั่งซื้อสินค้าและอาหารผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากประเด็นนี้อย่างเห็นได้ชัด คือ 'หุ้นกลุ่มอีคอมเมิร์ซ'
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มอีคอมเมิร์ซยังมีปัจจัยบวกระยะสั้นจากการจัดโปรโมชันลดราคาสินค้าวันที่ 11 เดือน 11 ที่เป็นกิจกรรมวันคนโสด หรือเทศกาลลดราคา Black Friday และ Cyber Monday ในวันที่ 27 และ 30 พฤศจิกายนนี้ ประเด็นดังกล่าวยิ่งช่วยหนุนธุรกิจกลุ่มอีคอมเมิร์ซในไตรมาสที่ 4/2563 มีแนวโน้มเติบโตได้ดี และในอนาคตก็ยังมีโอกาสเติบโตสูงตามจำนวนผู้ใช้งานที่ยังมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับยอดค้าปลีกทั่วไป
"แม้ว่าปัจจุบันมูลค่ายอดการซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีผู้ใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านสมาร์ทโฟนกว่า 3,000 ล้านคน แต่หากเทียบกับยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของโลก พบว่า การซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซยังมีส่วนแบ่งไม่ถึง 20% ของยอดค้าปลีกทั้งหมด แสดงว่าการเติบโตของกลุ่มนี้ยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก และจากการกระตุ้นของระบบ AI ที่จะชักชวนให้ผู้ใช้บริการกลับมาซื้อสินค้าอยู่เรื่อยๆ" นายณัฐกฤติ กล่าว