จี แคปปิตอล ปรับแผนธุรกิจใช้เทคโนโลยี AI และ DATA มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า คัดคุณภาพลูกหนี้ ลั่นคุม NPL ไม่ให้เกิน 5% เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจและสถานการณ์ภายในประเทศ สำหรับงวด 9 เดือนปี 2563 งบการเงินเฉพาะกิจการ มีรายได้รวม 253.83 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 9.45 ล้านบาท ลดลงจากผลกระทบโควิด-19
นายสเปญ จริงเข้าใจ กรรมการและผู้จัดการ บริษัท จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP กล่าวว่า งบการเงินเฉพาะกิจการในงวด 9 เดือนของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 253.83 ล้านบาท ลดลง 10.81 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.1 โดยมีปัจจัยหลักจากการลดลงของรายได้จากสิทธิเรียกร้องภายใต้สัญญาเช่าซื้อทรัพย์สิน เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อลดลงในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการแพร่ระบาดของโควิด-19
ในส่วนของกำไรสุทธิมีจำนวน 9.45 ล้านบาท ลดลง 31.86 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 77.1 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทได้ทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในการรับชำระหนี้ให้แก่บริษัทอื่นโดยตกลงชำระค่าตอบแทนการรับโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าว ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 8.56 ล้านบาท และขาดทุนจากการด้อยค่าลดลง 0.35 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 2.84 ล้านบาท
ทั้งนี้ ขาดทุนจากการด้อยค่าเปลี่ยนแปลงเนื่องจากบริษัทประเมินความเสี่ยงเป็นไปตามแนวคิดของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้นำมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน (TFRS 9) และฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่า (TFRS 16) มาปฏิบัติให้เป็นมาตรฐาน
นายสเปญ กล่าวอีกว่า เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพธุรกิจการปล่อยสินเชื่อของบริษัทฯ จึงต้องพิจารณาในงบการเงินเฉพาะกิจการ เนื่องจากในงบรวมไตรมาสนี้ มีการบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมค้าที่ยังไม่ดำเนินธุรกิจใดๆ เข้ามาแสดงเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียในงบรวมเพิ่มเติม
“ช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง-น้ำท่วม เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ทำให้ส่งผลกระทบต่อยอดการจัดเก็บค่างวดบางส่วน นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างการทำงาน ในส่วนของการบริหารจัดเก็บหนี้ และเปลี่ยนแปลงกระบวนการการทำงาน โดยบริษัทได้มีการทดลองและประเมินผล พบว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทได้พัฒนาเครื่องมือเพื่อใช้ในการบริหารจัดเก็บหนี้ โดยนำ AI และ DATA มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า” นายสเปญ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทฯ ได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจและสถานการณ์ ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว อีกทั้ง บริษัทได้มีแผนการปรับลดค่าใช้จ่าย เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของบริษัท และมีนโยบายควบคุมตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้ไว้ไม่เกิน 5%