จี แคปปิตอล ปรับแผนการดำเนินธุรกิจช่วงที่เหลือของปีนี้ ใช้เทคโนโลยีคัดคุณภาพลูกหนี้ ลั่นคุม NPL ไม่ให้เกิน 5% เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจและสถานการณ์ภายในประเทศ ล่าสุดร่วมทุนได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรก “สบายใจบิวตี้” พร้อมลุยธุรกิจสินเชื่อต่อเนื่องช่วงครึ่งปีหลัง
นายสเปญ จริงเข้าใจ กรรมการและผู้จัดการ บริษัท จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP กล่าวว่า งบการเงินเฉพาะกิจการในไตรมาส 2/63 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 84.16 ล้านบาท ลดลง 5.74 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.4 โดยมีปัจจัยหลักจากการลดลงของรายได้จากสิทธิเรียกร้องภายใต้สัญญาเช่าซื้อทรัพย์สินจำนวน 4.38 ล้านบาท เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อลดลงในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในส่วนของกำไรสุทธิมีจำนวน 7.71 ล้านบาท ลดลง 14.85 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 65.8 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 8.58 ล้านบาท และขาดทุนจากการด้อยค่าลดลง 3.81 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 8.08 ล้านบาท
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นเกิดจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มยอดการปล่อยสินเชื่อ เช่น ค่าส่งเสริมการตลาด ค่าบุคลากร ค่าที่ปรึกษาและค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย โดยในปีนี้บริษัทฯ ได้นำมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน (TFRS 9) และฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่า (TFRS 16) มาปฏิบัติให้เป็นมาตรฐาน
นายสเปญกล่าวอีกว่า เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพธุรกิจการปล่อยสินเชื่อของบริษัทฯ จึงต้องพิจารณาในงบการเงินเฉพาะกิจการ เนื่องจากในงบรวมไตรมาสนี้มีการบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมค้าที่ยังไม่ดำเนินธุรกิจใดๆ เข้ามาแสดงเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียในงบรวมเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ "สบายใจมันนี่" ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท 9F InternationalHolding PTE. LTD ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แรก “สบายใจบิวตี้” ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมเนื่องจากได้รับผลจากการล็อกดาวน์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะพันธมิตรของบริษัทอยู่ประเทศจีน ไม่สามารถเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้อย่างปกติ แต่บริษัทฯ ยังมีความมั่นใจในความพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจการปล่อยสินเชื่อให้สอดรับกับโลกยุคดิจิทัลและคาดจะเห็นความชัดเจนในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ปี 2563
“ช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ทำให้ส่งผลกระทบต่อยอดการจัดเก็บค่างวดบางส่วนในช่วงล็อกดาวน์ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนมิถุนายน บริษัทจึงมีการปรับโครงสร้างการทำงานในส่วนของการบริหารจัดเก็บหนี้ และเปลี่ยนแปลงกระบวนการการทำงาน โดยบริษัทได้มีการทดลองและประเมินผลในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทได้พัฒนาเครื่องมือเพื่อใช้ในการบริหารจัดเก็บหนี้โดยนำ AI และ DATA มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการพักชำระหนี้ที่จะหมดลงในเดือนตุลาคมนี้” นายสเปญกล่าว
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทฯ ได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจช่วงที่เหลือของปีนี้เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจและสถานการณ์ ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว อีกทั้งบริษัทได้มีแผนการปรับลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของบริษัท และมีนโยบายควบคุมตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้ไว้ไม่เกิน 5%