ผู้ว่าฯ ธปท.ระบุ นโยบายการเงินถึงทางตัน เน้นดำเนินนโยบายไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หนุนนโยบายการคลังเป็นทัพหน้าแก้ปัญหา พร้อมชู 5 โจทย์ใหญ่ของ ธปท.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ย้ำนโยบายรักษาสมดุลและมีความเป็นอิสระจากการเมือง
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า วิกฤตโควิด-19 เป็นวิกฤตสาธารณสุขที่ลุกลามและส่งผลกระทบเชื่อมโยงกันทั่วโลก ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักพร้อมๆ กันในทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทยที่ต้องล็อกดาวน์ จนมีผลกระทบถึงผู้ประกอบการและประชาชนจำนวนมาก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีจะเหลือเพียง 6.7 ล้านคน จากเดิมที่ประเทศไทยเคยมีนักท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคน คิดเป็นรายรับที่หายไปถึงประมาณ 10% ของจีดีพี การส่งออกสินค้าในไตรมาส 2 มีอัตราการหดตัวหนักที่สุดในรอบ 11 ปี เปรียบเสมือนอาการของผู้ป่วยหนักที่รักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู
หลังจากผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หรือเมื่อผู้ป่วยออกมาพักฟื้นจากไอซียูแล้ว บริบทประเทศได้เปลี่ยนไปอย่างน้อย 3 ด้าน คือ หนึ่ง การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจแตกต่างกันมาก (Uneven) ทั้งในมิติของสาขาเศรษฐกิจ มิติเชิงพื้นที่ และขนาดของธุรกิจ สอง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจคาดว่าจะใช้เวลานาน (Long) ไม่น้อยกว่า 2 ปี ในการกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ส่วนหนึ่งเพราะโครงสร้างของสินค้าและตลาดส่งออกของไทยกระจุกอยู่ในกลุ่มสินค้าและตลาดที่ฟื้นตัวช้า และสาม ยังมีความไม่แน่นอน (Uncertain) ว่าวัคซีนจะทดลองสำเร็จเมื่อไร ภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นได้ระดับไหน จึงเกิดคำถามว่า ทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
การดำเนินนโยบายทางการเงินของ ธปท.ในสถานการณ์ดังกล่าวมีข้อจำกัดมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยขณะนี้ต่ำมากที่สุดในภูมิภาค ทำให้บทบาทของนโยบายการคลังมีความสำคัญควรเป็นกองหน้าในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินจะเป็นทัพหลังสนับสนุนและดำเนินนโยบาย ดอกเบี้ย สภาพคล่อง ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
“การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ต้องรักษาสมดุลให้เกิดขึ้นกับทุกภาคส่วน ต้องคำนึงถึงภาพรวม ที่ต้องมีฝ่ายได้เปรียบและเสียเปรียบ จึงต้องมองภาพรวมเป็นหลัก พร้อมทั้งยึดมั่นรักษาคงามเป็นอิสระจากการเมือง ซึ่งมีข้อกฎหมายกำหนดไว้แล้ว” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าว
เมื่อบริบทเปลี่ยน ธปท. จึงมีแนวทางการแก้ไขปัญหาต้องปรับจากการใช้มาตรการที่ปูพรมการให้ความช่วยเหลือเป็นการทั่วไป เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน มาเป็นการช่วยเหลือแบบตรงจุด (targeted) ครบวงจร (comprehensive) และยืดหยุ่น (flexible) โดยพิจารณาถึงผลข้างเคียง เพราะมีทรัพยากรจำกัดจึงต้องใช้ให้ถูกจุดเพื่อช่วยคนที่จำเป็นให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ตัวอย่างที่ได้ดำเนินการไปแล้ว เช่น การพักชำระหนี้ จากการปูพรมช่วยช่วงล็อกดาวน์ที่ธุรกิจต้องหยุดดำเนินการ พนักงานต้องหันมาทำงานจากที่บ้าน (work from home) หรือถูกลดชั่วโมงการทำงาน ทำให้ขาดสภาพคล่องของรายได้ มาเป็นการส่งเสริมให้สถาบันการเงินมีเวลาปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมตามความสามารถของลูกหนี้ ซึ่งเป็นการช่วยแบบตรงจุดกว่า เช่นเดียวกับหมอที่รักษาคนไข้ตามความหนักเบาของอาการที่ป่วย
ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นครั้งนี้สามารถแก้ไขได้ แต่ต้องอาศัยเวลาและการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดอย่างคุ้มค่า ธปท. เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งพอที่จะก้าวพ้นวิกฤตในครั้งนี้ เพราะไทยสามารถคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดี เสถียรภาพการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี เสถียรภาพต่างประเทศเข้มแข็ง หนี้สาธารณะยังอยู่ต่ำกว่าเพดานหนี้สาธารณะ และยังสามารถบริหารจัดการหนี้ได้ และตลาดแรงงานมีความยืดหยุ่น
5 โจทย์ใหญ่ของ ธปท. สำหรับช่วงเวลาต่อจากนี้ ได้แก่ 1) แก้วิกฤตหนี้อย่างยั่งยืน เพื่อให้ภาคครัวเรือนและธุรกิจผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 และฟื้นตัวได้ 2) รักษาเสถียรภาพระบบการเงิน เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 3) รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ให้โครงสร้างเศรษฐกิจการเงินไทยสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงภายใต้สถานการณ์โควิด-19 และระยะต่อไปได้ดี 4) สร้างความเชื่อมั่นของสาธารณชน ให้ ธปท. เป็นหนึ่งในองค์กรที่ประชาชนเชื่อมั่นที่สุด และ 5) พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน ให้ ธปท. เป็นองค์กรที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ และสร้างความยั่งยืนให้แก่เศรษฐกิจและสังคมไทย