“เจแอลแอล” เผยผลสำรวจความเห็นนักลงทุนอสังหาฯ ทั่วโลก ระบุนักลงทุนทั่วโลกกว่า 84% เชื่อมูลค่าการลงทุนซื้อขายอสังหาฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 63 และ 52%เชื่ออสังหาฯ จะฟื้นตัวในครึ่งแรกปี 64 ขณะที่ความไม่แน่นอนจากที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้การลงทุนมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังมากขึ้น แนะนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเน้นลงทุนในตลาดหลัก ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์วิธีการลงทุนแบบเดิมๆ ให้เร็วยิ่งขึ้น
รายงานข่าวจากบริษัท โจนส์แลง ลาร์ซาล หรือ “เจแอลแอล” ที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ผลสำรวจความคิดเห็นนักลงทุนอสังหาฯ ทั่วโลก พบว่า นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่า มูลค่าการลงทุนซื้อขายอสังหาฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 64 อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนที่เกิดจากสถานการณ์โควิด-19 ยังคงทำให้การลงทุนมีความท้าทายมากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนต้องพิจารณาใหม่ถึงกลยุทธ์การลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากขึ้น โดยเน้นการลงทุนในตลาดหลัก และเร่งการปรับเปลี่ยนต่างๆ ที่เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 ให้เร็วยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่ากว่า 84% ของผู้ตอบแบบสำรวจประเมินว่าตลาดการลงทุนซื้อขายอสังหาฯ เอเชียแปซิฟิกจะเริ่มส่งสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 63 เป็นต้นไป โดย 32% เชื่อว่าจะมูลค่าการลงทุนจะปรับตัวสูงขึ้นในครึ่งหลังของปี 63 และ 52% เชื่อว่าจะฟื้นตัวในครึ่งแรกปี 64 อย่างไรก็ตาม ในขณะที่นักลงทุนคาดว่าการลงทุนซื้อขายอสังหาฯ ในภูมิภาคจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า แต่สำหรับประเทศที่เป็นตลาดการลงทุนหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และออสเตรเลีย คาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในปี 64 ขณะเดียวกัน คาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าการลงทุนซื้อขายอสังหาฯ เกิดขึ้นรวมทั้งสิ้น 5.29 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลงจากครึ่งแรกของปี 62 มากถึง 4.03 หมื่นล้านดอลลาร์
นายสจ๊วต โครว์ ซีอีโอหน่วยธุรกิจบริการด้านการลงทุนภาคพื้นที่เอเชียแปซิฟิก เจแอลแอล กล่าวว่า จากการพูดคุยกับลูกค้า ทำให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า นักลงทุนจะยังคงเลือกลงทุนในทำเล และอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่สามารถต้านแรงกระทบจากวิกฤตการณ์ได้ ซึ่งหมายถึงอสังหาริมทรัพย์ที่ยังสามารถสร้างรายได้จากค่าเช่าในแดนบวกให้ได้ ดังนั้น ลูกค้าของเรายังคงสนใจการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มโลจิสติกส์ (โกดังและศูนย์จัดเก็บ-กระจายสินค้า) และศูนย์การค้าที่เน้นขายสินค้าบริการที่จำเป็น นอกจากนี้ คาดว่านักลงทุนจะกล้ารับความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากการลงทุนในจังหวะนี้มีโอกาสให้ผลตอบแทนการลงทุนสูง
สำหรับไตรมาส 3 ของปี 63 นี้ ความไม่แน่นอนสูงยังคงเป็นความท้าทายมากที่สุดตามความเห็นของนักลงทุน โดย 60% ของนักลงทุนที่เข้าร่วมการสำรวจระบุว่า สถานการณ์ความไม่แน่นอนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ต้องระงับการลงทุน ตัวอย่างประเด็นความไม่แน่นอนที่นักลงทุนกังวล ได้แก่ เมื่อซื้ออาคารไปแล้วจะมีโอกาสมากน้อยเพียงใดที่ผู้เช่าจะย้ายออก หรือค่าเช่าลด รวมถึงความไม่แน่นอนว่าสินทรัพย์ที่ซื้อมาจะมีมูลค่าปรับลดลงอีกหรือไม่
JLL ประเมินตลาดปี 64
จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น จะเร่งให้แนวโน้มหลายอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้ขยายตัวเร็วขึ้น เช่น ประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ซึ่ง 81% ของนักลงทุนวางแผนที่จะลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์ในช่วงที่เหลือของปีนี้และตลอดปี 64 โดยมีนักลงทุนกว่า 82% วางแผนที่จะรักษาหรือเพิ่มระดับการลงทุนการลงทุนในอสังหาฯ กลุ่มหลัก เช่น การลงทุนในอาคารสำนักงานต่อไปในช่วง 18 เดือนข้างหน้า โดยมีเพียง 6% เท่านั้นที่คาดว่าจะปรับลดการลงทุนลง
ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่จะเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนจากรายได้ต่อเนื่อง (ค่าเช่า) และมีบางส่วนที่จะลงทุนซื้อเพื่อหวังการปรับขึ้นของมูลค่าในอนาคตด้วย โดย 42% วางแผนที่จะลงทุนแบบผสม คือทั้งอสังหาฯ ที่สร้างรายได้ระยะยาว และอสังหาฯ ที่มีโอกาสมูลค่าปรับสูงขึ้น และ 49% เลือกลงทุนในอสังหาฯ ด้วยวัตถุประสงค์อย่างหลัง
“นักลงทุนจะเลือกรูปแบบการลงทุนมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้ แม้การลงทุนส่วนใหญ่จะยังคงเป็นการเข้าซื้ออสังหาฯ โดยตรง แต่มีนักลงทุนจำนวนมากขึ้นที่มีแผนลงทุนรูปแบบอื่นๆ โดย 32% มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มผ่านการซื้อหุ้นของบริษัทเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ และ 29% วางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนผ่านตลาดตราสารหนี้”
นายร็อดดี อลัน ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายวิจัยภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก เจแอลแอล กล่าวว่า การเกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 ทำให้นักลงทุนเปลี่ยนกลยุทธ์การเข้าถึงโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แม้จะเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจะเน้นให้ความสำคัญต่อโอกาสการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำในภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงในขณะนี้ แต่มีนักลงทุนในเอเชียแปซิฟิกจำนวนมากขึ้นที่ไม่เพียงใช้กลยุทธ์กระจายการลงทุนในระยะยาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจินตนาการใหม่ถึงวิธีที่จะลงทุนในภูมิภาคนี้