แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยจะเริ่มคลี่คลาย จนนำไปสู่การปลดล็อกดาวน์เกี่ยวกับมาตรการบังคับในเฟสต่างๆ ต่อเนื่อง ขณะที่ทางศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ยืนยันไร้ผู้ป่วยในประเทศเกินกว่า 1 เดือน ซึ่งข่าวดีที่เกิดขึ้น จะส่งผลให้บรรยากาศโดยรวมปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม มรสุมจากพิษโควิด-19 ต่อภาพรวมเศรษฐกิจของไทยและเศรษฐกิจโลก กำลังปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ภาคการส่งออก ที่คิดเป็นสัดส่วน 30% ของจีพีดีได้หยุดชะงักลง เนื่องจากประเทศคู่ค้ายังคงล็อกดาวน์จากสถานการณ์โควิด-19 ล่าสุด เดือนพฤษภาคม ส่งออกติดลบลึกสุดในรอบ 10 ปี หดตัวถึง 22.5% ธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการถูกกระทบเป็นอันดับแรก
ซึ่งในความเป็นจริง ประชาชนต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากมาตรการเยียวยาของภาครัฐ หมดยาลง! เพราะนั่นจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติของการชำระหนี้ ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดเป้า จีพีดี ปี 2563 ติดลบเพิ่มขึ้นเป็น 8.1% ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ไทย โดยประเมินว่าไตรมาส 2 ปีนี้จะติดลบต่ำสุดในรอบปีถึงระดับ 2 หลัก
ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ 8-10% ดูเหมือนว่า สถานการณ์ของภาคอสังหาฯ เจอปัจจัยลบตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ประเมินปี 63 ติดลบ 10-15% จำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศติดลบ 16.7% มาอยู่ที่ 311,719 หน่วย มูลค่าติดลบ 14.8% มูลค่าที่เป็นสภาพคล่องส่งถึงบริษัทอสังหาฯ อยู่ที่ 746,206 ล้านบาท
จี้ ธปท.ฉีดสภาพคล่องช่วยลูกหนี้ ลด ดบ.ไม่ช่วย
แหล่งข่าวในวงการอสังหาริมทรัพย์ กล่าวยอมรับว่า ครึ่งปีหลังสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ แต่หากเมื่อใด ที่มีการผลิตวัคซีนมา ก็จะผลักดันให้ เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว แต่ถ้าวัคซีนไม่มาก การฟื้นตัวจะเป็นรูปตัว U ทั้งนี้ หากคณะกรรมการนโยบายการเงินตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบาย (อาร์พี) ลงอีก ก็ไม่มีผล แต่อยากให้มองเรื่องการอัดฉีดสภาพคล่องให้แก่ลูกหนี้ เป็นประเด็นนี้มากกว่า
"การที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องปันผล ก็อาจจะมองได้ว่า เพื่อให้ธนาคารสำรอง กรณีเกิดความเสี่ยงด้านสินเชื่อที่อาจจะกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL และเงินที่เหลือธนาคารก็ต้องปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากขณะนี้เงินท่วมแบงก์ และทาง ธปท.ต้องการให้ธนาคารทำหน้าที่ปล่อยสินเชื่อให้เต็มที่ ซึ่งสิ่งที่ธปท.ทำถือว่าดี และยังเป็นการช่วยเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วย ขณะนี้ ธุรกิจต้องการเม็ดเงินจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว เพราะยังไม่ฟื้นตัว" แหล่งข่าวกล่าว
อสังหาฯ-กลุ่มเอกชนถกด่วน ศบค.
เปิดน่านฟ้าเอเชีย ฟื้นท่องเที่ยว
นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ (PF) กล่าวว่า ตอนนี้ เราควรทำตลาดท่องเที่ยวกับคนไทยก่อน ขณะเดียวกัน ก็รอเปิดน่านฟ้า ถ้าเปิดก็ควรเปิดกับประเทศที่มี Active Case ที่ดี ซึ่งน่าจะเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม ที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับประเทศไทย อาจจะต้องเปิดเป็นโซนๆ ไป ส่วนนักท่องเที่ยวจากยุโรป และสหรัฐฯ อาจจะมาพิจารณาช่วงท้ายๆ ซึ่งตอนนี้ควรจะเป็นการท่องเที่ยวแบบ "เอเชียเที่ยวเอเชีย" การจะข้ามไปเที่ยวประเทศยุโรปคงช้าลง คนไทยที่เคยออกไปนอกประเทศ ก็หันกลับมาเที่ยวในไทยมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้มีประมาณ 10 กว่าล้านคน
"ภาคเอกชนตอนนี้ได้ร่วมมือกันในการยกระดับการท่องเที่ยว ล่าสุด บริษัทแกรนด์ แอสเสทฯ ในเครือ PF ได้ผนึกกับ 7 ธุรกิจชั้นนำเพื่อสร้างสีสันให้แก่ภาคท่องเที่ยว สร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขภาพ พร้อมดูแลนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ และเป็นครั้งแรกที่โรงแรมติดตั้งเครื่อง TytoCare เทคโนโลยีทางการแพทย์ สามารถตรวจร่างกายผู้ป่วยเบื้องต้นทันที โดยไม่ต้องไปโรงพยาบาล มีแพกเกจการเงินและบัตรเครดิตชั้นนำ ทั้งเคทีซี และบัตรเครดิต JCB จากญี่ปุ่นเสริม โดยประเมินในครึ่งปีหลัง แนวโน้มการท่องเที่ยวน่าจะดีขึ้น แต่คงต้องรอการเปิดน่านฟ้าก่อน ซึ่งทางเราจะมีการนำ 7 ภาคธุรกิจชั้นนำไปหารือกับรัฐบาล"
ถัดมาในเฟสที่ 2 จะหลังเปิดน่านฟ้า ซึ่งกลุ่มโรงแรมของเราจะทำ แต่ต้องดูแลเรื่องโควิด-19 ไปด้วยกัน ได้แก่ เมื่อนักท่องเที่ยวลงถึงสนามบิน จะมีการดูแลตั้งแต่ต้นทาง หากผลตรวจเป็นโควิด-19 จะถูกนำส่งโรงพยาบาล แต่หากตรวจแล้วเป็นปกติก็เดินทางเข้าประเทศได้ และมีระบบติดตามตัวนักท่องเที่ยวผ่านระบบของ AIS เช่น ไปเที่ยวจตุจักร หรือไปเที่ยวข้างนอก ก็มีระบบติดตาม สามารถวัดผลได้เร็ว ขณะเดียวกันจะมีระบบเทคโนโลยีตรวจผลที่รวดเร็วภายใน 1 นาที จากเดิมระบบโรงพยาบาลใช้เวลา 1 ชั่วโมง เราจะให้ตรวจเร็วขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยการท่องเที่ยว ระบบติดตามตัวของ AIS ที่ไปผนึกกำลังกับหัวเว่ย ในการคัดกรองได้ด้วย อาจจะใช้ซิมเฉพาะ
"แคมเปญจาก 7 พันธมิตร จะทำให้พอร์ตธุรกิจโรงแรมของเราฟื้นตัว ซึ่งเราพร้อมเปิดบริการครบทุกโรงแรมในเครือภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เราจะใช้ระบบในความร่วมมือครั้งนี้ไปใช้กับนักท่องเที่ยวต่างประเทศด้วย เราควรอาศัยจังหวะนี้เตรียมการท่องเที่ยวระยะยาวด้วย ประเทศไทยควรเป็นประเทศแรกๆ เนื่องจากรายได้จากการท่องเที่ยวมีส่วนสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจ ฉะนั้น ควรใช้กระตุ้นการท่องเที่ยวให้เกิดเร็วที่สุด ต้องมาผนึกกำลังระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพราะในแง่ของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค.ส่วนใหญ่จะเป็นทหารกับหมอ ภาคธุรกิจยังน้อยไป แน่นอนที่สุดแล้ว เมื่อเปิดน่านฟ้าแล้ว ตัวเลขของติดเชื้อโควิด-19 อาจจะไม่เป็นศูนย์ อาจจะมีบ้าง แต่เราติดตามได้ ป้องกันที่ดี เศรษฐกิจก็จะเดินหน้าต่อไป การพูดคุยกับ ศบค.จะหยิบประเด็นเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย โดยนำโมเดล 7 พันธมิตรไปหารือกับมาตรการที่ทางภาคเอกชนได้ดำเนินการ เราแพกธุรกิจชั้นนำไปพร้อมกัน ต้องการกระตุ้นการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้น ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ"
สำหรับประเด็นที่เราจะไป Discuss กับรัฐบาล มีเรื่องของการลดภาษีสินค้าแบรนด์เนม โดยดึงนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามาซื้อสินค้าในประเทศไทย จะทำให้บรรยายกาศของกรุงเทพฯ มีความคึกคักมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วขึ้น ในส่วนของธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจสายการบิน โรงแรม ก็ต้องทำ ด้วยการลดราคาลงเพื่อร่วมกระตุ้น
"เราต้องลดราคาสายการบิน โรงแรม สินค้า กระตุ้นท่องเที่ยว ประเทศไทยต้องขึ้นมาเป็นผู้นำของเอเชีย คนจีนตอนนี้ไปเที่ยวยุโรปไม่ได้ ก็มาเที่ยวเมืองไทย มาชอปปิ้งสินค้า เราต้องอาศัยจังหวะนี้แก้ให้เร็วที่สุด"
พิษโควิด-19 ฝนตกทั่วฟ้า โดนกันทั่วหน้า
นายชายนิด กล่าวเปรียบเทียบระหว่างวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 กับวิกฤตสถานการณ์โควิด-19 ว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง จะกระทบในส่วนของภาคสถาบันการเงิน แต่วิกฤตโควิด-19 กระจายทั่ว ทุกคนโดนหมด ฝนตกทั่วฟ้า หนักกว่าปี 2540 เนื่องจากการล็อกดาวน์ (ปิดประเทศ) เกิดขึ้นทั่วโลก เป็นเวลา 2-3 เดือน ล็อกทีเดียว 3,000 ล้านคน ตรงนี้ก็พอเป็นสัญญาณบวกได้ว่า เมื่อมีการเปิดประเทศเมื่อไหร่ ทุกคนพร้อมที่จะลุกขึ้นมาท่องเที่ยว
"วิกฤตปี 2540 กระทบสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของระบบเศรษฐกิจ และกระทบจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน แต่ตอนนี้ ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนไม่มี สภาพคล่องไหลช้า แต่ก็ยังจัดการได้ จะเปรียบไปแล้ว ต้มยำกุ้ง เหมือนเครื่องบินที่ตกตูมชนเลย แต่โควิด-19 เหมือนเครื่องบินกำลังร่อนลง พวกเรามีเวลาปรับตัว และก็ต้องมากระตุ้นให้ฟื้นตัวอีกครั้ง"
"ฮาบิแทท" แนะเน้นกระตุ้นดีมานด์ในประเทศ
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมเพื่อการลงทุนของไทย และเป็นผู้ประกอบการที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุดในพัทยา เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลเริ่มคลายล็อกดาวน์ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การท่องเที่ยวมีความคึกคักมาก ซึ่งในส่วนของจังหวัดชลบุรี ทางบริษัทฯ ได้เปิดให้บริการโครงการครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์ ที่ให้บริการในรูปแบบ "ไพรเวท พูลวิลล่า" ซึ่งได้รับความนิยมค่อนข้างมาก เนื่องจากมีความเป็นส่วนตัว จำนวน 59 หลัง และเมื่อให้บริการมีอัตราการเข้าพัก 80-90% ทันที รวมถึงเปิดโรงแรม ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ และผลจากโควิด-19 ทำให้นักท่องเที่ยวอาจไม่เลือกโรงแรมที่มีขนาดใหญ่มากนัก เป็นเทรนด์การท่องเที่ยวใหม่รับกระแส “Social Distancing” ในยุค New Normal (ความปกติรูปแบบใหม่) ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ยังกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงระบาดไปทั่วโลก
"ตอนนี้คนยังกังวลในเรื่องการใช้บริการสายการบิน ไม่อยากไปแตะสนามบิน แม้แต่การบินในประเทศ คนก็ห่วง เพราะก่อนจะปิดประเทศ ก็มีนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้บริการอยู่ ซึ่งในความคิดแล้ว ตลาดต่างประเทศในเชิงการท่องเที่ยวอาจจะต้องรอไปเป็นปี 2564 เพราะสถานการณ์โดยรวมของทั่วโลกยังไม่ดี แต่ถ้าเป็นนักธุรกิจ ก็อาจใช้บริการบ้าง เพื่อไปดีลเรื่องกองทุนต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยวแล้ว ในส่วนในประเทศ หัวเมืองท่องเที่ยวที่ใกล้กรุงเทพฯ จะถูกเลือก เช่น หัวหิน พัทยา กาญจนบุรี เขาใหญ่ โดยอัตราการเข้าพักในระดับ 80-90 เปอร์เซ็นต์ จะอยู่ระดับนี้ไปอย่างน้อย 2 ถึง 3 เดือน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศยังไม่ชัดเจน กลายเป็นว่า หัวเมืองท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ พลิกจากวิกฤตเป็นโอกาส"
สำหรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการนั้น ในใจผมยังตอบ 100% ไม่ได้ว่า จะไปปรับแผนธุรกิจในครึ่งปีหลัง เนื่องจากมีคำถามในใจว่า อัตราการเข้าพักที่สูงจะเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องหรือไม่ ขณะที่ การท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ อัตราการจองจะไม่สูง ทำให้การประเมินธุรกิจโรงแรมในเดือนกรกฎาคมไม่ได้ 100% เราต้องติดตามสัปดาห์ต่อสัปดาห์
"ช่วงที่มีสถานการณ์โควิด-19 แคมเปญส่วนลดยังต้องมี แต่พอเข้าสู่เดือนมิถุนายน ราคาต่อห้องพักก็เข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องจากมีดีมานด์เข้าใช้บริการในโรงแรมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เรื่องราคาก็ต้องพิจารณาเรื่อโปรดักต์ของแต่ละโรงแรมด้วย ถ้าเป็นทั่วไปไม่เน้นดีไซน์ ก็ต้องทำเรื่องราคาแข่ง"
เอกชนหนุนเคลียร์กับ ศบค.
ย้ำทุกอย่างถูกแช่แข็งไม่ได้!
นายชนินทร์ กล่าวว่า ทุกโรงแรมก็มีมาตรการป้องกันในการเปิดรับอินเตอร์เนชันแนลทัวริสต์ รับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเจรจาธุรกิจนั้น จะเป็นภาคของธุรกิจแล้ว การปิดน่านฟ้าทันที ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศจะขาดเลย แต่การท่องเที่ยวในประเทศยังไปได้อยู่ ซึ่งหากต้องการธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ เราอาจจะเปิดและคัดกลุ่มนักธุรกิจเข้ามาก่อน และมีมาตรการในการรองรับ และภาครัฐเอาใจใส่ และเปิดน่านฟ้าให้บางกลุ่มเข้ามาก่อนก็ดี ไม่งั้นธุรกิจหลายอย่างสะดุด
"อย่างดีลของผมที่คุยกับทางญี่ปุ่น เดินหน้าไปเยอะ แต่พอเข้าสู่เดือนมีนาคม เกิดโควิด-19 ทั้งกลุ่มผู้ซื้อ ผู้ลงทุน และกองทุนต่างๆ ที่จะเข้ามาทำโปรเจกต์ใหม่ๆ หยุดหมด แม้แต่ผู้ลงทุนชาวญี่ปุ่นของผม ดีลกันจนจบ พอเกิดโควิด-19 ก็ให้ไปเริ่มใหม่ต้นปีหน้า ระมัดระวังสุดๆ ซึ่งในมุม หากมีเอกชน เข้าไปจอยกับทาง ศบค.น่าจะเป็นเรื่องที่ดี เราต้องแชร์ในมุมของภาคธุรกิจ ประเทศต้องขับเคลื่อนไปได้ คนไม่ติดโควิด-19 เลย แต่ทุกอย่างจะถูกแช่แข็งไม่ได้ ภาคธุรกิจจะต้องเดินหน้า ซึ่งถ้าเข้าสู่เดือนที่ 8 สิงหาคมยังไม่เปิด ภาคธุรกิจเหนื่อยแน่ ดังนั้น เราต้องมีมาตรการรองรับอีกสเต็ป จะต้องหารือกับหมอ ที่จะให้ประเทศเดินหน้าได้ แต่ไร้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 เปิดทางนักธุรกิจก่อน แล้วนักท่องเที่ยวทั่วไปจะอยู่ในเฟสที่ 2 ที่จะเข้าไปดูแล ซึ่งน่าจะประมาณต้นปี 64 ค่อยมาว่ากัน"