"ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล" เผยผู้ถือหุ้นไฟเขียวแผนระดมทุน 2.5 หมื่นล้านบาท เล็งขายหุ้นเพิ่มทุน RO มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท และออกหุ้นกู้ฯ 1 หมื่นล้านบาท ไตรมาส 3/63 หวังเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน ส่วนอีก 5 พันล้านบาทจะเป็นเงินจากการแปลง MINT-W7
นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติแผนเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยการระดมทุนมูลค่า 25,000 ล้านบาท ประกอบด้วย การเพิ่มทุนโดยจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน มูลค่า 10,000 ล้านบาท ออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่มีกำหนดไถ่ถอน (Perpetual bond) มูลค่า 10,000 ล้านบาท และการแปลงสิทธิใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 7 (MINT-W7) มูลค่า 5,000 ล้านบาท
สำหรับการเพิ่มทุนและการออกใบสำคัญแสดงสิทธิหรือวอร์แรนต์ในครั้งนี้ ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นได้อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 4,849,860,006 บาท เป็น 5,887,815,947 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ 1,037,955,941 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท แบ่งจัดสรรสำหรับ 1. เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering หรือ RO) 716,124,785 หุ้น, 2. รองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 7 (MINT-W7) จํานวนไม่เกิน 313,831,156 หุ้น และ 3. รองรับการปรับอัตราการใช้สิทธิของใบสําคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 6 (MINT-W6) จํานวนไม่เกิน 8,000,000 หุ้น
ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้ RO บริษัทคาดว่าจะได้เงินระดมทุนมูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะกำหนดราคาขายก่อนวันที่ 29 มิถุนายน 2563 และคาดว่าจะได้รับเงินภายในไตรมาส 3/2563 โดยกำหนดอัตราส่วนการเสนอขายไม่ต่ำกว่า 6.45 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญที่ออกใหม่ โดยบริษัทจะประกาศราคาเสนอขายก่อนหน้าวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ในการเสนอขายหุ้น RO และบริษัทได้กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (XR) เป็นวันที่ 26 มิถุนายน 2563 และกำหนดวันที่รายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ในการเสนอขายหุ้น RO (Record Date) เป็นวันที่ 29 มิถุนายน 2563
ขณะที่ระดมทุนด้วยการออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่มีกำหนดไถ่ถอน มูลค่า 10,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ในกระบวนการเตรียมออกหุ้นกู้เพื่อเสนอขายให้นักลงทุนต่างชาติ คาดว่าจะเสนอขายภายในไตรมาส 3/2563 ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตอยู่ที่ระดับ BBB จากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ส่วนการระดมทุนอีก 5,000 ล้านบาทจากการแปลงสิทธิ MINT-W7 มีอายุ 3 ปี นับจากวันที่ออก (ปี 2563-2566) ซึ่งจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นโดยไม่คิดมูลค่า ในอัตรา 17 หุ้นสามัญต่อใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) 1 หน่วย คาดว่าจะออกในช่วงไตรมาส 3/2563 อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MINT ยืนยันที่จะใช้สิทธิเพิ่มทุนในครั้งนี้ตามสัดส่วนการถือหุ้นของตนเองทั้งหมดเพื่อสร้างความมั่นใจในการเติบโตของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม การระดมทุนในครั้งนี้ถือเป็นแผนเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว ซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินของบริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้น เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจโดยที่ไม่ต้องระดมทุนเพิ่มอีกในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า และคาดว่าภายในปี 2563 อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Interest Bearing Debt to Equity Ratio : IBD/E) จะลดลงอยู่ในระดับ 1.3 เท่า หรืออาจจะต่ำกว่าระดับนี้ จาก ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ระดับ 1.6 เท่า โดยเงินระดมทุน 25,000 ล้านบาท บริษัทจะนำเงินไปใช้ชำระหนี้, ใช้ลงทุนขยายธุรกิจ และเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัท นอกจากนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 บริษัทมีกระแสเงินสดประมาณ 20,000 ล้านบาท และมีวงเงินสนับสนุนจากสถาบันการเงินอีกกว่า 30,000 ล้านบาท
โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย 129,000 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงิน (Costs of Fund) อยู่ที่ระดับ 2.65% ซึ่งช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 บริษัทมีหนี้จะครบชำระจำนวน 3,600 ล้านบาท และในปี 2564 มีหนี้ครบกำหนดชำระ 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็นในช่วงต้นปี 2564 มีหนี้ที่จะครบชำระ 4,000 ล้านบาท และในช่วงปลายปี 2564 มีหุ้นกู้ครบกำหนดชำระ 10,000 ล้านบาท
นายชัยพัฒน์กล่าวอีกว่า แนวโน้มสภาพคล่องจะปรับตัวดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 จากการคลายล็อกดาวน์ในหลายๆ ประเทศ ส่งผลให้กิจการธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารฟื้นตัวขึ้นตามความต้องการที่มีอยู่ โดยปัจจุบันบริษัทสามารถเปิดให้บริการโรงแรมได้แล้วประมาณ 50% ของจำนวนโรงแรมที่มีทั้งหมด 535 แห่ง ใน 57 ประเทศ และจะทยอยเปิดให้บริการอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าอัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ย (OCC) ในปี 2563 จะลดลงจากปี 2562 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ขณะที่ธุรกิจอาหารเริ่มเปิดให้บริการทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดให้บริการร้านอาหารแล้วประมาณ 90% จากจำนวนร้านอาหารที่มีทั้งหมด 2,377 สาขาใน 26 ประเทศ โดยร้านอาหารภายในประเทศได้เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และจะทยอยเปิดพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาการบริการแบบ Delivery ได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งบริษัทมีพนักงาน Delivery มากกว่า 3,000 คน ซึ่งช่วยประคองธุรกิจอาหารไปได้
ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของ MINT มาจาก 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1. กลุ่มธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณ 70-75%, 2. กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณ 20-25% และ 3. กลุ่มธุรกิจจำหน่ายและผลิตสินค้า (ไลฟ์สไตล์) ซึ่งมีจุดจำหน่ายสินค้า 485 แห่ง (แบ่งเป็นกลุ่มแฟชั่น 402 แห่ง และกลุ่มเครื่องใช้ในบ้านและครัวเรือน 83 แห่ง) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณ 5-10%