โบรกเกอร์เปิดโผหุ้นได้-เสียรับ New Normal ทำพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง พร้อมแนะนำหุ้น 7 กลุ่ม 20 บริษัทเด่นน่าลงทุน ขณะที่ บล.โกลเบล็กมองกรอบดัชนี 1,330-1,385 จุด ชูหุ้นปลดล็อกเฟส 3 SPA-MAJOR-CRC-CPN-HMPRO พร้อมจับตามีลุ้นปลดล็อกเฟส 4 เร็วๆ นี้ หลังสถานการณ์โควิค-19 เริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (DBSV) เปิดเผยหุ้นที่ได้-เสียจาก New Normal โดยหลังจากเกิดโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ก็มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงระบบการทำงาน และพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งบางอย่างอาจมีเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวรเลย เช่น สัดส่วนการ WFH จะเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับในอดีต, สนใจดูแลสุขภาพและทำประกันสุขภาพและประกันชีวิตมากขึ้น, ใช้ไอที ดิจิทัลแพลตฟอร์มมากขึ้น, ซื้อสินค้าและอาหารผ่านออนไลน์เยอะขึ้น, ประชุมผ่านระบบออนไลน์เป็นหลัก, การเดินทางเกี่ยวกับธุรกิจน้อยลง, หาซื้อที่พักอาศัยนอกเมืองเพื่อตอบรับการ WFH แทนการซื้อคอนโดฯ กลางเมือง เป็นต้น
การดึงฐานการผลิตกลับประเทศ ลดการพึ่งพาภายนอก บริษัทที่เสียประโยชน์ AMATA, WHA, AMATAR, HREIT, FTREIT, WHART
ใช้ Digital & Online Platform มากขึ้นในระดับองค์กร และในภาคประชาชน (ชีวิตประจำวัน)
บริษัทที่ได้ประโยชน์ ADVANC, DTAC, TRUE, DELTA, HANA, DIF, JASIF, HUMAN, VGI (Kerry), SCC, UTP
บริษัทที่เสียประโยชน์ CPN, CPNREIT, BKER, TLGF, FUTUREPF, MJLF, BBL, KTB, KBANK, SCB, TMB
เดินทางน้อยลง ทำงานจากบ้าน (WFH) และประชุม จ้างงานลดลง ผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น
บริษัทที่ได้ประโยชน์ ADVANC, DTAC, TRUE, DELTA, HANA, DIF, JASIF
บริษัทที่เสียประโยชน์ BOFFICE, CPNCG, CPTGF, GVREIT, POPF, TPRIME, AOT, AAV, NOK, THAI, BEM, BTS, BTSGIF, TFFIF, ERW, CENTEL, MINT, LHPF, LHHOTEL, QHHR, DREIT
ใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ลดใช้พลังงานฟอสซิล
บริษัทที่ได้ประโยชน์ SPCG, EA
บริษัทที่เสียประโยชน์ PTTEP, PTT, BANPU, LANNA
ใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้น ใช้รถยนต์น้ำมันน้อยลง
บริษัทที่ได้ประโยชน์ DELTA, KCE, EA
บริษัทที่เสียประโยชน์ LHK (ชิ้นส่วนที่จะหายไป คือ เครื่องยนต์, ตลับลูกปืน, เกียร์, ท่อไอเสีย, หม้อน้ำ, ถังน้ำมัน, ชิ้นส่วนระบบส่งกำลัง, เพลา, ลูกสูบ และเทอร์โบ เป็นต้น)
ทำประกันชีวิตและสุขภาพมากขึ้น
บริษัทที่ได้ประโยชน์ BLA, TIP, AYUD, SMK เป็นต้น
สังคมสูงวัยขยายตัวใหญ่ขึ้น (จะเกิดขึ้นอยู่แล้วแม้ไม่มี COVID-19)
บริษัทที่ได้ประโยชน์ BDMS, BH, CHG, RJH, BCH, RPH เป็นต้น
ซื้อที่พักอาศัยแนวราบนอกเมืองที่พร้อมด้วย Digital Facilities มากขึ้น
บริษัทที่ได้ประโยชน์ AP, LH, QH, SPALI, SC เป็นต้น
บริษัทที่เสียประโยชน์ ANAN, ORI, LPN เป็นต้น (ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์ธุรกิจ)
แนะนำ 7 กลุ่มลงทุนรับ New Normal
กลยุทธ์ : เลือกซื้อลงทุนในกลุ่มและหุ้นเด่นในธีม New Normal ซึ่งประกอบด้วย
1) กลุ่มไอซีที & ดิจิทัล หุ้นเด่นเป็น ADVANC, DELTA, HANA, DIF 2) กลุ่มโลจิสติกส์ & ดิจิทัลมีเดีย หุ้นเด่นเป็น JWD, VGI 3) กลุ่มที่พักอาศัยแนวทาง & ทาวน์โฮม หุ้นเด่นเป็น AP, LH, SC, SPALI 4) กลุ่มโรงพยาบาล หุ้นเด่นเป็น BDMS, BCH, CHG 5) กลุ่มพลังงานทางเลือก หุ้นเด่นเป็น EA, GPSC 6) กลุ่มท่องเที่ยวและอาหาร หุ้นเด่นเป็น AOT, CPF, GFPT 7) กลุ่ม REITS หุ้นเด่นเป็น AIMIRT, HREIT
โกลเบล็กประเมินดัชนีแกว่งตัวขึ้น หลังปลดล็อกดาวน์เฟส 3
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นในลักษณะ Sideway Up โดยมีแรงหนุนจากการผ่อนคลาย Lockdown ต่อเนื่อง หลังจากพบจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 น้อยลง และมีแนวโน้มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งก็มีโอกาสเห็นการผ่อนคลายต่อเนื่องในเฟส 4
ในขณะเดียวกัน ล่าสุดที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท ประกอบกับกระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุม ครม.อนุมัติจัดตั้งกองทุน 5 หมื่นล้านบาทช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SME ที่เข้าไม่ถึง Soft Loan ซึ่งก็จะส่งผลในเชิงบวกต่อภาคธุรกิจการลงทุน พร้อมทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับขึ้นหลังจากกำลังการผลิตน้ำมันทั่วโลกปรับตัวลดลง และความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังจากหลายประเทศทยอยปลดล็อกดาวน์ ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีอยู่ในระดับ 1,330-1,385 จุด
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ เช่น การชุมนุมประท้วงในฮ่องกง แม้กระทบกับประเทศไทยโดยตรงไม่มาก แต่เป็นความกังวลว่าอาจจะนำไปสู่การปะทุครั้งใหม่ของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมทั้งเหตุจลาจลในสหรัฐอเมริกา หากมีการขยายวงกว้างและยืดเยื้ออาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัจจัยภายในประเทศจากความไม่แน่นอนของเสถียรภาพการเมือง ปัญหาภัยแล้งในประเทศที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ และกำลังซื้อของเกษตรกร
นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตาการเปิดเผยตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือน พ.ค.ของจีนในวันที่ 3 มิ.ย. เช่นเดียวกับอียูที่จะมีการรายงานตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือน พ.ค. อัตราว่างงานเดือน เม.ย. และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน เม.ย. รวมทั้งสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือน พ.ค. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือน พ.ค. ดัชนีภาคบริการเดือน พ.ค. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือน เม.ย. สต๊อกน้ำมันรายสัปดาห์
ส่วนวันที่ 4 มิ.ย. ทางกระทรวงพาณิชย์แถลงสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ฉบับย่อ ขณะที่ในต่างประเทศ ทางอียูจะมีการเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือน เม.ย. และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งสหรัฐฯ เปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดุลการค้าเดือน เม.ย.
แนะลงทุนหุ้นคลายล็อกดาวน์ SPA-MAJOR-CRC-CPN-SF- HMPRO
ด้าน นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากการปลดล็อกเฟส 3 ครั้งนี้ ทำให้หุ้นที่น่าจับตาซึ่งจะได้รับประโยชน์จากมาตรการผ่อนคลาย เช่น SPA, MAJOR, CRC, CPN, SF และ HMPRO
ขณะที่ราคาทองคำขณะนี้ ได้แรงบวกจากกรณีที่สหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษฮ่องกงหลังจีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่เพื่อปกครองฮ่องกง นอกจากนี้เกิดการจลาจลในสหรัฐฯ กว่า 50 เมือง หลังชายผิวดำเสียชีวิตขณะที่ตำรวจผิวขาวเข้าจับกุม ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าและหนุนให้ทองคำปรับตัวขึ้น ส่งผลให้ทางฝ่ายวิจัยคาดว่าราคาทองคำจะผันผวนในกรอบ 1,715-1,760 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือ 25,790-26,530 บาทต่อบาททองคำ โดยเน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวและขายทำกำไรที่แนวต้าน