xs
xsm
sm
md
lg

เปิดโผหุ้น “กลุ่ม-บจ.” รับอานิสงส์ New Normal

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไวรัสโควิด-19 ระบาด ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตปรับเปลี่ยนสู่ New Normal ชัดเจน ส่งผลพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง และรัฐปลดล็อกมาตรการเฟส 3 แถมลุ้นต่อเฟส 4 หลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลายในทิศทางดีขึ้น โบรกเกอร์ประเมินหุ้นกลุ่มและบริษัทจดทะเบียนที่จะได้รับผลบวก-ลบจากการปลดล็อกและ Work From Home ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวสดใสหลังสถานที่ท่องเที่ยวเปิดเต็มรูปแบบตามปกติ ส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวขึ้น หลังปลดล็อกดาวน์ต่อเนื่อง

หลังจากเกิดไวรัสโควิด-19 ระบาดหนัก ทำให้รัฐออกมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดมาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการงดเดินทางข้ามจังหวัด การปิดสนามบินและงดเที่ยวบิน ตลอดจนการประกาศเคอร์ฟิว นัยว่าเพื่อไม่ให้คนเดินทางไปพบปะใกล้ชิดหรือชุมนุมกันในสถานที่ต่างๆ อันจะทำให้มีการติดเชื้ออย่างไม่เจตนา และอื่นๆ อีกมากมาย และต้องยอมรับว่าคนไทยส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือและทุกฝ่ายช่วยกันป้องกันโดยการสวมมาสก์และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือพกพากันเป็นนิสัย และในสถานที่ต่างๆ จะมีเจลแอลกอฮอล์ไว้สำหรับให้ผู้คนที่เข้าออกในสถานที่ต่างๆ กดใช้ได้ ซึ่งมีให้เห็นจนเจนตา

ต้องยอมรับว่ามาตรการเข้มงวดของรัฐ และการกักตัวคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ตลอดจนคนที่ติดเชื้อในประเทศเองอย่างรัดกุมนั้น ทำให้ตัวเลขผู้ที่ติดเชื้อไม่ขยับเพิ่ม หรือหากวันใดเพิ่มขึ้นมาก็วันละคนสองคน และส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเท่านั้น

เมื่อภาพรวมสถานการณ์คลี่คลาย ทำให้รัฐผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ตามสภาวะ ทำให้ประชาชนสามารถออกนอกบ้านและออกมาพบปะกันได้มากขึ้น ร้านรวงและสถานที่ต่างๆ จากเดิมที่ห้ามเข้าไปนั่งรวมกัน หรือห้ามนั่งหรือทำกิจกรรมต่างๆ ในร้านก็ผ่อนคลายลง แม้จะไม่ปกติเหมือนก่อน แต่ถือว่าคนเราได้เริ่มออกมาพบปะกันบ้าง แต่เว้นระยะห่างและการป้องกันอื่นๆ ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว และหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ หยุดกิจการ หรือไม่มีรายได้เข้ามาเลย เพราะส่วนใหญ่เลิกจ้างอาจชั่วคราวหรือถาวรแล้วแต่สภาพ ปัจจุบันพบว่าบางธุรกิจเริ่มขยับปรับเปลี่ยนให้เข้าสภาวะและวิถีที่เปลี่ยนไป กล่าวคือ จากเดิมชุมนุมจับกลุ่มและสนิทใกล้ชิดกัน กลายเป็นต้องเว้นระยะห่าง และอื่นๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือระบาดของโรคไวรัสดังกล่าว แต่ที่แน่ๆ การทำงานอยู่ที่บ้าน หรือ Work From Home : WFH ในสภาวะปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นและหลายบริษัทยังคงใช้มาตรการนี้ยาวมา

ดังนั้น การประกาศปลดล็อกตั้งแต่เฟส 1 กระทั่งมาถึงเฟส 3 ต้องยอมรับว่าผ่อนคลายมากขึ้น ภายใต้ความระมัดระวังและมาตรการที่ป้องกันการระบาดอย่างเข้มงวดเช่นเดิม และการรักษาระยะห่างทางสังคมถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ถือได้ว่าวิถีการดำเนินชีวิตเปลี่ยนไป เรียกว่า 'วิถีใหม่' หรือ New Normal ซึ่งจากกระแสใหม่นี้เอง ทำให้ธุรกิจที่อยู่ในเมกะเทรนด์ของโลกได้รับผลประโยชน์จากความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ดัชนีแกว่งตัวขึ้น หลังปลดล็อกดาวน์เฟส 3

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นในลักษณะ Sideway Up โดยมีแรงหนุนจากการผ่อนคลาย Lockdown ต่อเนื่อง หลังจากพบจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 น้อยลง และมีแนวโน้มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งก็มีโอกาสเห็นการผ่อนคลายต่อเนื่องในเฟส 4 ในขณะเดียวกัน ล่าสุดที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท ประกอบกับกระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุม ครม.อนุมัติจัดตั้งกองทุน 5 หมื่นล้านบาทช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SME ที่เข้าไม่ถึง Soft Loan ซึ่งก็จะส่งผลในเชิงบวกต่อภาคธุรกิจการลงทุน พร้อมกันนี้ ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับขึ้นหลังจากกำลังการผลิตน้ำมันทั่วโลกปรับตัวลดลง และความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังจากหลายประเทศทยอยปลดล็อกดาวน์

โดยมองดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sideway Up โดยมองกรอบดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,430-1,475 จุดโดยแรงหนุนจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านตำแหน่ง สวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดไว้ว่าการจ้างงานอาจลดลง 8.33 ล้านตำแหน่ง ประกอบกับกลุ่มโอเปกพลัสบรรลุข้อตกลงขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันต่อไปอีก 1 เดือนจนถึงปลายเดือน ก.ค. ประกอบกับหลายประเทศทยอยผ่อนคลาย lockdown ทำให้อุปสงค์การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งหนุนให้หุ้นกลุ่มพลังงานฟื้นตัว


อย่างไรก็ตาม จากระดับ Valuation ของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแพง โดยในปัจจุบันมีการซื้อขายที่ระดับ P/E 20 เท่า ซึ่งสูงสุดในภูมิภาค จึงเป็นสาเหตุทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน และหันไปลงทุนประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน อีกทั้งค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบจากปลายไตรมาส 1/2563 ส่งผลลบต่อการส่งออก และหากยังแข็งค่าต่อเนื่องกังวลว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเข้าแทรกแซงในการดูแลค่าเงินบาทเพื่อป้องการการส่งออกหดตัว

นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตาอียูเปิดเผย GDP ไตรมาส 1 (ประมาณการครั้งสุดท้าย) รวมทั้งการเปิดเผยความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือน พ.ค. สต๊อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือน เม.ย. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือน เม.ย.ของสหรัฐฯ และวันที่ 10 มิ.ย.จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) และจีนเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน พ.ค. ส่วนสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน พ.ค. สต๊อกน้ำมันรายสัปดาห์ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) แถลงมติอัตราดอกเบี้ยเช้าวันที่ 11 มิ.ย.นี้

ขณะเดียวกัน ในวันที่ 11 มิ.ย. สหรัฐฯ เปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน พ.ค. และวันที่ 12 มิ.ย. ญี่ปุ่นเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน เม.ย. รวมทั้งอียูเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน เม.ย. และสหรัฐฯ เปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือน พ.ค. ความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือน มิ.ย.

แนะลงทุนหุ้นคลายล็อกดาวน์

นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากการปลดล็อกเฟส 3 ครั้งนี้ ทำให้หุ้นที่น่าจับตาซึ่งจะได้รับประโยชน์จากมาตรการผ่อนคลาย เช่น SPA, MAJOR, CRC, CPN, SF และ HMPRO ขณะที่ราคาทองคำขณะนี้ได้แรงบวกจากกรณีที่สหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษฮ่องกงหลังจีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่เพื่อปกครองฮ่องกง นอกจากนี้เกิดการจลาจลในสหรัฐฯ กว่า 50 เมือง หลังชายผิวดำเสียชีวิตขณะที่ตำรวจผิวขาวเข้าจับกุมส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าและหนุนให้ทองคำปรับตัวขึ้น ส่งผลให้ทางฝ่ายวิจัยคาดว่าราคาทองคำจะผันผวนในกรอบ 1,715-1,760 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือ 25,790-26,530 บาทต่อบาททองคำ โดยเน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวและขายทำกำไรที่แนวต้าน

ประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ฟื้น

บล.เคจีไอประเมินแนวโน้มหุ้นกลุ่มโรงแรม หลังจากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือน เม.ย. 63 เป็นศูนย์หรือลดลง 100% ล่าสุดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยลดลง 100% เทียบปีก่อน เหลือศูนย์คนในเดือนเมษายน 2563 เนื่องจากมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และมีการประกาศเคอร์ฟิวในเดือนเมษายน 2563 ซึ่งพบว่านักท่องเที่ยวหายไปหมดในทุกทำเลที่ตั้ง สำหรับตัวเลขสะสมในรอบ 4 เดือนปี 2563 พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงถึง 52% เหลือเพียง 6.7 ล้านคน

ทั้งนี้ บล.เคจีไอยังคงเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2563 เอาไว้ที่ 13 ล้านคน หรือลดลง 67% จากปีก่อน โดยคาดว่าแต่ละไตรมาสจะเป็นดังนี้คือ ไตรมาสแรกลดลง 38%, 99.9%, 93% และ 50% จากปีก่อนตามลำดับไตรมาส สำหรับผลประกอบการของธุรกิจโรงแรมโดยรวม คาดว่าจะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ขณะที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้เล็กน้อยตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไปหนุนจากนักท่องเที่ยวในประเทศ

โดยหลังจาก 29 พฤษภาคม 2563 รัฐบาลได้อนุมัติให้คลายมาตรการ lockdown เฟสที่ 3 โดยให้มีผลตั้งแต่วันนี้ (1 มิ.ย.) เป็นต้นไป โดยประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม ได้แก่ 1. อนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยได้เป็นรายกรณี 2. ขยายเวลาปิดห้างสรรพสินค้าออกไปเป็น 21.00 น. (จากเดิม 20.00 น.) และ 3. อนุญาตให้ใช้ห้อง ballroom และจัดกิจกรรม MICE ได้

ดังนั้น มองว่าการผ่อนคลายรอบนี้จะทำให้ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารฟื้นตัวได้เล็กน้อย เนื่องจากการขยายเวลาเปิดห้างสรรพสินค้าจะช่วยหนุน SSS ในขณะที่การกลับมาเปิดใช้ห้องบอลรูมก็จะช่วยหนุนกิจกรรมของธุรกิจโรงแรมให้น้ำหนักลงทุนหุ้นโรงแรม Neutral เชียร์ CENTEL

ทั้งนี้ ยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงแรมที่ Neutral เนื่องจากยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์โรคระบาดนอกประเทศไทยอยู่ และการที่ผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวได้อย่างจริงจังยังต้องอาศัยเวลา เรายังคงเน้นเลือกหุ้นเป็นรายตัว โดยเลือก Central Plaza Hotel (CENTEL) แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มโรงแรมเนื่องจากมีความเสี่ยงทางการเงินต่ำที่สุดในกลุ่ม ขณะที่ธุรกิจก็กระจายตัวดีและรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจในประเทศไทย

สำหรับในระยะต่อไป คาดว่าราคาหุ้นของ CENTEL น่าจะยัง outperform หุ้นอื่นในกลุ่มได้ (Figure 2) เนื่องจากผลประกอบการจะฟื้นตัวเร็วกว่ากลุ่ม แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงอย่างมากเกินกว่าสมมติฐาน

3 กลุ่มรับอานิสงส์ new normalชัดเจน

บล.เอเซีย พลัส ประเมินกลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากการเข้าสู่วิถีใหม่ (new normal) ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นวิเคราะห์ว่ามีกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์อย่างชัดเจนด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจถุงมือยาง ซึ่งบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง STA จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากความต้องการใช้ถุงมือยางที่เพิ่มขึ้น โดยราคาเหมาะสม (fair value) อยู่ที่ 20.00 บาท แต่ราคาหุ้นปัจจุบันปรับขึ้นเหนือราคาเหมาะสมแล้ว จึงแนะนำรอราคาย่อตัวลงมาค่อยเข้าลงทุน

ธุรกิจอุปกรณ์เทคโนโลยีและอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ จากเทรนด์การทำงานที่บ้าน (work from home) ซึ่งส่งผลให้คนหันมาติดต่อสื่อสารกันผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าเทรนด์ดังกล่าวจะส่งผลบวกแก่ บมจ.คอมเซเว่น (COM7) ซึ่งประกอบธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 23.00 บาท

และธุรกิจสื่อสาร เนื่องจากโลกหลังโควิด-19 ผู้คนจะสนใจเทคโนโลยี 5G มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้ข้อมูลของค่ายมือถือ โดยหุ้นเด่นแนะนำ ADVANC ราคาเหมาะสม 210.00 บาท

ธุรกิจรับผลบวก-ลบ จาก New Normal

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (DBSV) เปิดเผยหุ้นที่ได้-เสียจาก New Normal โดยหลังจากเกิดโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ก็มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงระบบการทำงาน และพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งบางอย่างอาจมีเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวรเลย เช่น สัดส่วนการ WFH หรือ Work From Home จะเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับในอดีต, สนใจดูแลสุขภาพและทำประกันสุขภาพและประกันชีวิตมากขึ้น, ใช้ไอที ดิจิทัลแพลตฟอร์มมากขึ้น, ซื้อสินค้าและอาหารผ่านออนไลน์เยอะขึ้น, ประชุมผ่านระบบออนไลน์เป็นหลัก, การเดินทางเกี่ยวกับธุรกิจน้อยลง, หาซื้อที่พักอาศัยนอกเมืองเพื่อตอบรับการ WFH แทนการซื้อคอนโดฯ กลางเมือง เป็นต้น

ขณะที่หลายบริษัทมีการดึงฐานการผลิตกลับประเทศ ลดการพึ่งพาภายนอก ทำให้บริษัทจดทะเบียนของไทยเสียประโยชน์ อย่าง AMATA, WHA, AMATAR, HREIT, FTREIT, WHART และจากการทำงานที่บ้านหรือ WFH ทำให้มีการใช้ Digital & Online Platform มากขึ้นในระดับองค์กร และในภาคประชาชน (ชีวิตประจำวัน) บริษัทที่ได้ประโยชน์ ADVANC, DTAC, TRUE, DELTA, HANA, DIF, JASIF, HUMAN, VGI (Kerry), SCC, UTP

ขณะเดียวกันก็มีบริษัทที่เสียประโยชน์ CPN, CPNREIT, BKER, TLGF, FUTUREPF, MJLF, BBL, KTB, KBANK, SCB, TMB

ทั้งนี้ มาตรการของรัฐทำให้การเดินทางน้อยลง ทำงานจากบ้าน (WFH) และประชุม จ้างงานลดลงผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น ทำบริษัทที่ได้ประโยชน์ ADVANC, DTAC, TRUE, DELTA, HANA, DIF, JASIF ส่วนบริษัทที่เสียประโยชน์ BOFFICE, CPNCG, CPTGF, GVREIT, POPF, TPRIME, AOT, AAV, NOK, THAI, BEM, BTS,BTSGIF, TFFIF, ERW, CENTEL,MINT, LHPF, LHHOTEL, QHHR, DREIT แน่นอนว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นลดใช้พลังงานฟอสซิล ซึ่งทำให้บริษัทที่ได้ประโยชน์คือ SPCG, EA ขณะบริษัทที่เสียประโยชน์คือ PTTEP, PTT, BANPU, LANNA

นอกจากนี้ ยุคที่น้ำมันหายากและราคาไม่นิ่ง ทำให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้น การใช้รถยนต์น้ำมันน้อยลง ทำให้มีบริษัทที่ได้ประโยชน์ DELTA, KCE, EA ส่วนบริษัทที่เสียประโยชน์ LHK เป็นต้น

โดยสรุป บล.ดีบีเอสวิคเคอร์สแนะนำ 7 กลุ่มลงทุนรับ New Normal ในกลุ่มไอซีที & ดิจิทัล หุ้นเด่นเป็น ADVANC, DELTA, HANA, DIF กลุ่มโลจิสติกส์ & ดิจิทัลมีเดีย หุ้นเด่นเป็น JWD, VGI กลุ่มที่พักอาศัยแนวทาง & ทาวน์โฮม หุ้นเด่นเป็น AP, LH, SC, SPALI กลุ่มโรงพยาบาล หุ้นเด่นเป็น BDMS, BCH, CHG กลุ่มพลังงานทางเลือก หุ้นเด่นเป็น EA, GPSC กลุ่มท่องเที่ยวและอาหาร หุ้นเด่นเป็น AOT, CPF, GFPT และ กลุ่ม REITS หุ้นเด่นเป็น AIMIRT, HREIT

ล่าสุดบริษัทในกลุ่มไอทีอย่าง TRUE ที่พัฒนา “VLEARN วี-เลิร์น” แพลตฟอร์มใหม่ครบวงจรทุกฟังก์ชัน สอดรับกับวิถีชีวิตแบบนิวนอร์มัล กลุ่มทรูจึงนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีการสื่อสารดิจิทัล พร้อมประสบการณ์ที่ได้ร่วมสนับสนุนภาคการศึกษาไทยมาตลอด 12 ปีจากโครงการทรูปลูกปัญญา รวมถึงการร่วมขับเคลื่อนโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED พัฒนา “VLEARN วี-เลิร์น” นวัตกรรมแพลตฟอร์มเพื่อการศึกษายุค 4.0 ภายใต้ True Virtual World หรือ True VWorld ผลงานที่ตั้งใจสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นทางออกให้คนไทยในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา ซึ่ง VLEARN เป็นการรวมทุกฟังก์ชันที่เข้าใจทุกความต้องการของแวดวงสถาบันการศึกษามาไว้ในที่เดียว ช่วยให้ครูและนักเรียนสามารถบริหารจัดการสถานศึกษาและจัดการเรียนการสอนได้ทุกที่ ทุกเวลา

โดยการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ในห้องเรียนเสมือนจริง ผ่าน VROOM ระบบบริหารจัดการแบบครบวงจรในระดับห้องเรียนและโรงเรียนที่สะดวกรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ยังส่งเสริมให้นักเรียนได้มีโอกาสเข้าถึงคลังความรู้ออนไลน์ขนาดใหญ่ทั้งคลังบทเรียน คลังข้อสอบ ครบทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และที่สำคัญ ด้วยเทคโนโลยีคลาวด์ของกลุ่มทรู โดยผู้ใช้งานสามารถมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยที่มีระบบป้องกันและรักษาข้อมูลไม่ให้รั่วไหล พร้อมสะดวกสบายกับการเก็บและแชร์ไฟล์แบบไม่มีวันหมดอายุ ตอบโจทย์การ Learn from Home ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยฟังก์ชันที่โดดเด่น






กำลังโหลดความคิดเห็น