บล.โกลเบล็กมองหลังคลาย Lockdown ส่งผลภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว บรรดาผู้ประกอบการแห่ออกแพกเกจกระตุ้นการเที่ยวในประเทศ แนะจับตา 5 หุ้น ERW-CENTEL- AOT-AAV-BA ส่อแววรับอานิสงส์เต็มๆ พร้อมประเมินกรอบดัชนีการลงทุนแกว่งตัว Sideway Up ที่ระดับ1,430-1,475 จุด ขานรับข่าวดีตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันหลังกลุ่มโอเปกพลัสบรรลุข้อตกลงขยายเวลาลดการผลิตต่ออีก 1 เดือน ถึง ก.ค.นี้
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด ประเมินทิศทางการลงทุนในขณะนี้ว่า หลังจากที่มีการคลาย lockdown เฟส 3 ในช่วงที่ผ่านมาทำให้ภาคการลงทุนเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ส่อแววจะเริ่มกลับมาคึกคัก โดยจะเห็นบรรดาผู้ประกอบการทยอยออกแพกเกจท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นให้คนกลับมาเที่ยวในประเทศมากขึ้น หลังจากประสบปัญหาสถานการณ์โควิด-19 จนทำให้ธุรกิจเกิดการชะลอตัวตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา ดังนั้น ฝ่ายวิจัยมองว่าหุ้นในกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์ต่อกรณีดังกล่าวคงหนีไม่พ้นกลุ่มท่องเที่ยว ทำให้ทาง บล.โกลเบล็กจึงคัด 5 หุ้นที่น่าจับตา ได้แก่ ERW, CENTEL, AOT, AAV และ BA ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการออกแพกเกจกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ นอกจากนี้ ยังได้มองว่าในวันที่ 22 มิ.ย.นี้จะมีหุ้นที่จะได้เข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Large Cap Index รอบใหม่ อย่าง CRC และ DIF เข้ามาสร้างสีสัน
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sideway Up โดยมองกรอบดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,430-1,475 จุด โดยแรงหนุนจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านตำแหน่ง สวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดไว้ว่าการจ้างงานอาจลดลง 8.33 ล้านตำแหน่ง ประกอบกับกลุ่มโอเปกพลัสบรรลุข้อตกลงขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันต่อไปอีก 1 เดือนจนถึงปลายเดือน ก.ค. ประกอบกับหลายประเทศทยอยผ่อนคลาย lockdown ทำให้อุปสงค์การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งหนุนให้หุ้นกลุ่มพลังงานฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม จากระดับ Valuation ของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแพง โดยในปัจจุบันมีการซื้อขายที่ระดับ P/E 20 เท่า ซึ่งสูงสุดในภูมิภาค จึงเป็นสาเหตุทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน และหันไปลงทุนประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน อีกทั้งค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบจากปลายไตรมาส 1/2563 ส่งผลลบต่อการส่งออกและหากยังแข็งค่าต่อเนื่องกังวลว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเข้าแทรกแซงในการดูแลค่าเงินบาทเพื่อป้องกันการส่งออกหดตัว
นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตาอียูเปิดเผย GDP ไตรมาส 1 (ประมาณการครั้งสุดท้าย) รวมทั้งการเปิดเผยความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือน พ.ค. สต๊อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือน เม.ย. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือน เม.ย.ของสหรัฐฯ และวันที่ 10 มิ.ย.จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) และจีนเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค. ส่วนสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน พ.ค. สต๊อกน้ำมันรายสัปดาห์ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) แถลงมติอัตราดอกเบี้ย (เช้าวันที่ 11 มิ.ย.)
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 11 มิ.ย. สหรัฐฯ เปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน พ.ค. และวันที่ 12 มิ.ย. ญี่ปุ่นเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน เม.ย. รวมทั้งอียูเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน เม.ย. และสหรัฐฯ เปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือน พ.ค. ความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือน มิ.ย.
สำหรับราคาทองคำในสัปดาห์นี้ยังคงผันผวนในกรอบ 1,670-1,715 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือ 24,910-25,640 บาทต่อบาททองคำ โดยเล่นเก็งกำไรในกรอบดังกล่าว แต่หากหลุดแนวรับที่ 1,670 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ให้ขายออกทันที