อสังหาฯ ชี้ กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% คงเหลือ 0.50% ช่วยคนผ่อนบ้านและกระตุ้นให้เกิดการลงทุน แต่ห่วงแบงก์รัฐ-เอกชน ลดวงเงินกู้ซื้อบ้านแบบถาวร แม้ธุรกิจจะลดรายได้ โอที แต่เป็นระยะสั้น 3-6 เดือนเท่านั้น ทำให้ยอดลูกค้าทิ้งโอนบ้านและคอนโดฯ พุ่ง
วานนี้ (20 พ.ค.) คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติ 4 ต่อ 3 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ต่อปี จากเดิม 0.75% เป็น 0.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที เนื่องจากมีการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 มีแนวโน้มหดตัวกว่าประมาณการเดิม ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่หดตัวรุนแรงกว่าที่คาด ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยืดเยื้อไปทั่วโลก ขณะที่ IMF คาดจีดีพีโลกปีนี้ จะหดตัวติดลบ 3% และมีการคาดการณ์จีดีพีไทย จะติดลบ 6.7% ซึ่งหนักสุดในภูมิภาคอาเซียน
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมทไทม์ พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ในเรื่องของนโยบายการคลังยังต้องช่วยกันอยู่เพื่อให้มีต้นทุนที่ต่ำลง และทำให้นักลงทุนทั้งหลายที่เก็บเงินไว้ก็น่าที่จะเอาเงินสดมาลงทุนต่อ แต่ผลเสียคือว่า มีการคาดเดากันต่อว่า ในไตรมาส 3 หรือ 4 มีแนวโน้มจะลงอีก 0.25% เนื่องจากคาดว่า จีดีพี จะติดลบ ทำให้สิ้นปีจะเหลือเพียงสลึงเดียว ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ นักธุรกิจ หรือนักลงทุน อาจจะไม่กล้านำเงินมาลงทุนก็ได้
"ตอนนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ลูกค้าที่เข้าไปกู้กับสถาบันการเงิน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารของรัฐ ปรากฏว่าลูกค้าเหล่านี้ถูกลดเงินเดือน ถูกลดค่าล่วงเวลา ทำให้ธนาคารเหล่านี้ ไปลดวงเงินกู้ของลูกค้าลง นั่นแปลว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 เปอร์เซ็นต์ จะไม่เป็นประโยชน์เลย ถึงแม้จะมีต้นทุนต่ำทำให้คนมาซื้อที่อยู่อาศัย แต่นโยบายแบงก์รัฐ หรือแบงก์พาณิชย์ที่ปล่อยเงินกู้ ไม่ได้สะท้อนความจริงว่า ลูกค้าแค่ถูกลดเงินเดือน 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ และลดโอทีชั่วคราว ซึ่งเป็นปัญหาระยะสั้นเพียง 3-6 เดือน แต่แบงก์กลับมองเป็นเรื่องถาวร เลยลดวงเงินกู้แบบถาวรไป ลดตามคุณสมบัติของลูกค้าระยะสั้น แต่กำหนดระยะยาว จึงอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย กลับไปดูที่ว่า ปลายทางแบงก์กลับไปลดวงเงินหมดเลย เช่น แต่เดิมเคยซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาท แต่ถูกลดเหลือ 2.5 ล้านบาท นั่นจะทำให้ลูกค้ากู้ไม่ได้ กู้ไม่ผ่านหมดเลย เลยทำให้ลูกค้ายกเลิกการทำธุรกรรมการซื้อบ้าน ผู้ประกอบการก็ต้องนำโครงการมาทำตลาดใหม่ ต้นทุนเพิ่มขึ้น"
นายสืบวงษ์ สุขะมงคล ประธานกรรมการบริหาร แพทโก้กรุ๊ป และบริษัท มารวย เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทในเครือ เปิดเผยว่าเป็นเรื่องที่ดี ดีกับทุกฝ่ายที่ กนง.มีการลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% เพราะจะทำให้ผู้ที่กำลังผ่อนบ้านต่อเดือนลดลง และอาจจะสามารถชดเชยรายได้ที่หายไป ทั้งนี้ ต้องมาพิจารณาว่า ผลจากมติของ กนง.แล้ว ธนาคารต่างๆ จะมีนโยบายอย่างไรกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพราะแต่ละธนาคารจะปรับลดลงแตกต่างกัน
"การลดดอกเบี้ยน่าจะมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการลงทุนได้ ซึ่งดีกับภาพรวมของเศรษฐกิจไทย เหมือนบ่อปลาที่ขาดน้ำ ก็มีน้ำมาเติม เป็นการเติมเงินในกระเป๋าให้เพิ่มขึ้น ในส่วนของภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ มองว่า โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบยังเป็นกลุ่มตลาดเรียลดีมานด์ที่มีความต้องการอยู่ โครงการของบริษัทในต่างจังหวัด อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ" นายสืบวงษ์ กล่าว