บล.ทรีนีตี้เผยมุมมองหลัง ครม. มีมติให้ THAI ยื่นคำขอแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ทำให้ ได้รับการคุ้มครองเข้าสู่สภาวะพักหนี้ ส่งผลดีต่อลูกหนี้ในแง่ที่ว่ากิจการของบริษัทยังสามารถดำเนินต่อไปได้ แต่อาจเสี่ยงต้องเข้าเกณฑ์การถูกขึ้นเครื่องหมาย C และผู้ลงทุนจะต้องซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวด้วยบัญชี Cash Balance เท่านั้น อีกทั้งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นภาพรวมหุ้นกู้เอกชนทั้งระบบ กดต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้มองว่า ขั้นตอนต่อไป THAI จะต้องจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อยื่นคำร้องต่อศาล และเมื่อศาลมีการรับคำร้องแล้ว จะทำให้ THAI ได้รับการคุ้มครองเข้าสู่สภาวะพักหนี้หรือ Automatic Stay โดยทันที
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ากระบวนการ Automatic stay จะเป็นผลดีต่อลูกหนี้ในแง่ที่ว่ากิจการของบริษัทยังสามารถดำเนินต่อไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงแรกก็คือราคาตราสารหนี้ของบริษัทในตลาดรองที่อาจได้รับผลกระทบไปก่อน โดยหากดูจากราคาซื้อขายหุ้นกู้การบินไทยในช่วง 1-2 วันนี้ จะพบว่าราคาตกลงมาอย่างน่าใจหาย
ขณะเดียวกันราคาตราสารหนี้ที่ตกลง รวมถึงภาวะ Technical default ที่มีแนวโน้มสูงว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ผู้ที่ถือตราสารหนี้ของ THAI อยู่นั้นหาจเกิดความวิตกกังวลได้ เช่น กลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ถือหุ้นกู้รวมอยู่เกือบ 4 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ส่วนทางด้านตราสารทุนนั้น จากการตรวจสอบกับทาง ตลท.ล่าสุด พบว่าในปีนี้ THAI คงจะยังไม่ถูกให้ขึ้นเครื่องหมาย SP แต่อย่างใด โดยหากจะเกิดขึ้นเร็วสุด ก็อาจจะเป็นช่วงต้นปีหน้าที่จะมีการรายงานงบตรวจสอบ (งบปี) ออกมา ซึ่งถ้าหากออกมาแล้วส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ จะเข้าเกณฑ์การพิจารณาเหตุเพิกถอนทันที
แต่ทั้งนี้ ในช่วงถัดไป หากศาลตอบรับคำร้องการขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท จะทำให้ THAI เข้าเกณฑ์การถูกขึ้นเครื่องหมาย C จากทาง ตลท.โดยทันที ซึ่งหลังจากนั้น ผู้ลงทุนจะต้องซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวด้วยบัญชี Cash Balance เท่านั้น
อย่างไรก็ดีประเมินว่าจริง ๆ แล้ว THAI มีโอกาสที่จะถูกให้ขึ้นเครื่องหมาย C ตั้งแต่รอบรายงานงบการเงินไตรมาส 1/63 นี้แล้วด้วยซ้ำ หากผลออกมาส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่า 50% ของทุนชำระแล้ว แต่เนื่องจาก THAI ขอยื่นเรื่องผ่อนผันการส่งงบ จึงทำให้ยังไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว (ณ สิ้นปี 62 THAI มีส่วนของผู้ถือหุ้นราว 53% ของทุนชำระแล้ว)
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิดคือความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นกู้เอกชน ที่แต่เดิมทีก็อยู่ในระดับแย่อยู่แล้ว ซึ่งหากมาเจอเหตุการณ์นี้เข้าไปอีก อาจทำให้ Corporate bond spread จะยังยืนอยู่ในระดับสูงต่อไปได้ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทเอกชนได้ต่อไป