โบรกฯ เสียงแตกชี้หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลทรุด ในประเด็นหลักจากประกันสังคมปรับลดการจ่ายเงินค่าบริการทางการแพทย์ผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงอาจกระทบผลประกอบการ กดกำไรสุทธิปี 2019E ลดลง ส่งผลกระทบต่องบไตรมาส 4/62 ทำให้มีการบันทึกรายได้จากการเบิกจ่ายลดลง อีกทั้งความกังวลในเรื่องความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านในภูมิภาคตะวันออกกลาง กดดันสัดส่วนลูกค้าหลักที่มีกำลังซื้อสูงลดลง
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้กล่าวว่า จากประเด็นการปรับลดค่าเหมาจ่ายสำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ของสำนักงานประกันสังคม (SSO) ได้ประกาศว่าจะมีการปรับลดการเหมาจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ ประเภทผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (Adjusted RW ไม่ต่ำกว่า 2) เนื่องจากงบประมาณรวมของปี 2562 ไม่เพียงพอ ส่งผลให้จากเดิมที่มีวงเงินจ่ายที่ 12,800 บาท/Adjusted RW ลดลงเป็น 7,100 บาท/Adjusted RW ส่งผลให้ในไตรมาส 4/62 จะมีการบันทึกรายได้จากการเบิกจ่ายที่ลดลง แต่หากมีงบประมาณคงเหลือจะมีการพิจารณาจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เพิ่มเติมในภายหลัง
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สะท้อนออกมาเป็นผลกระทบเชิงลบต่อกลุ่มการแพทย์ โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาลที่รับคนไข้ประกันสังคม เนื่องจากรายได้ที่จะบันทึกในไตรมาส 4/62 จะปรับตัวลดลง และเนื่องจากการปรับลดการเหมาจ่ายนี้รวมย้อนหลังของเดือน ส.ค.-ก.ย. 2562 อยู่ด้วย จึงคาดว่าจะมีการกลับรายการเพิ่ม และผลกำไรในไตรมาส 4/62 คาดว่าจะปรับตัวลดลงเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า จากช่วงไตรมาส 3 ที่เป็นช่วง High Season ของกลุ่ม และปรับตัวลดลงเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า จากการปรับค่าเหมาจ่ายเป็น 7,100 บาท/Adjusted RW (แม้ว่าในไตรมาส 4/ 62 มีการปรับลดอยู่ที่ 8,100 บาท/Adjusted RW สำหรับรอบ 3 เดือนสุดท้ายของปี)
อย่างไรก็ดี บล.ทรีนีตี้แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มโรงพยาบาลที่รับคนไข้กลุ่มประกันสังคมชั่วคราว (ได้แก่ BCH, CHG, RJH และ LPH) เนื่องจากจะมีการกลับรายการ และการตั้งสำรองพิเศษเพิ่มในไตรมาส 4/62 ในประเด็นของการขอปรับเพิ่มค่ารายหัวประกันสังคมที่ 10-12% ยังไม่ชัดเจน และไม่ได้มีการปรับเพิ่มมา 2 ปีแล้ว แต่ต้นทุนทางการแพทย์ได้ปรับตัวสูงขึ้นและมีการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราการทำกำไรของกลุ่มยังไม่เติบโตเท่าที่ตั้งเป้าหมายไว้
ทั้งนี้ หากมีข้อสรุปต่อประเด็นการปรับเพิ่มค่าเหมาจ่ายรายหัวเพิ่ม ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับการปรับลดค่าเหมาจ่ายสำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ซึ่งมองว่าจะเป็น Upside Risk ต่อกลุ่มที่ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบเรื่องประกันสังคมไปมากแล้ว
ล่าสุดราคาหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับประกันสังคมปรับตัวลง (BCH -8.48% และ CHG -5.51%) จากความกังวลเรื่องสำนักงานประกันสังคมปรับลดการจ่ายเงินค่าบริการทางการแพทย์ผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (Adjusted RW >= 2) ลดลงเหลือ 7,100 บาท จาก 12,800 บาทต่อ 1 Adjusted RW ที่กำหนดจ่ายให้แก่สถานพยาบาลในโครงการประสังคม ช่วง 5 เดือนสุดท้ายของปี 2562 เนื่องด้วยวงเงินงบประมาณดังกล่าวไม่เพียงพอ โดยหากประกันสังคมมีเงินงบประมาณคงเหลือจากการจ่ายเงินค่าบริการทางการแพทย์ครบทุกรายการแล้วจะพิจารณาจ่ายค่าบริการการแพทย์เพิ่มเติมในภายหลัง
ขณะที่ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ "Overweight" โดยนายเอกรินทร์ วงษ์ศิริ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBS กล่าวว่า ยังคงมีมุมมองเป็นลบต่อกลุ่มโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม (BCH, CHG, RJH และ LPH) ซึ่งการปรับลดครั้งนี้มากกว่าและใช้ระยะเวลานานกว่าในอดีตที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2018 ที่มีการจ่ายที่ 8,100 บาท และมีผลเพียง 3 เดือน ขณะที่ปี 2019 มีอัตราการจ่ายที่ต่ำกว่าอยู่ที่ 7,100 บาท ลดลง และมีผลใช้ยาวนานกว่าเป็นเวลาถึง 5 เดือน
"ประเมินว่าโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคมจะได้รับผลกระทบต่อรายได้และส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิปี 2019E สำหรับ BCH ประเมินว่ากำไรสุทธิปี 2019E จะลดลง 56 ล้านบาท (คิดเป็น -4.8% ของกำไรสุทธิ 2019E ที่ 1,157 ล้านบาท) ขณะที่ CHG กำไรสุทธิปี 2019E จะลดลง 38 ล้านบาท (คิดเป็น -5.1% ของกำไรสุทธิ 2019E ที่ 740 ล้านบาท)"
ในกรณีเลวร้ายที่สุด worse case (สำนักงานประกันสังคมปรับลดการจ่ายเงินค่าบริการทางการแพทย์อยู่ที่ 7,100 บาท ตลอดทั้งปีและทุกๆ ปีตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป) ซึ่งประเมินว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมายของ BCH ลดลง 1.80 บาท/หุ้น (จาก EPS ที่ลดลง 0.04 บาท x target 2020E PER ที่ 37x) และ CHG ราคาเป้าหมายจะลดลง 0.25 บาท/หุ้น ซึ่งราคาหุ้นที่ปรับตัวลงเมื่อวานนี้ถือว่าได้รับรู้กรณี worse case ไปมากแล้ว
"ยังคงคำแนะนำซื้อ BCH ที่ 20.00 บาท อิง DCF ( WACC = 7%, TG = 3%) เนื่องจากประเด็นดังกล่าวเป็นผลกระทบจากปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น อีกทั้งในปี 2020E ยังมีปัจจัยหนุนรายได้ทั้งปี อาทิ ศูนย์ IVF หนุนรายได้ รพ.World medical และยังมี upside earning จากการเพิ่มค่าเหมาจ่ายรายหัวประกันสังคม โดยประเมินราคาเป้าหมาย BCH: (BUY, target: Bt20.00) BDMS: (BUY, target Bt28.00) BH: (SELL, target Bt150.00) และ CHG: (BUY, target: Bt3.00)"
ขณะที่ นายธวัชชัย อัศวพรไชย นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเอสแอล จำกัด ให้มุมมองต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลร่วงหลังสำนักงานประกันสังคมปรับลดค่าเหมาจ่ายสำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลกระทบต่องบไตรมาส 4/62 คาดมีการบันทึกรายได้จากการเบิกจ่ายลดลง
ทั้งนี้ ในส่วนของค่าเบิกจ่ายต่อหัวที่มีการขอปรับเพิ่มขึ้นจากสำนักงานประกันสังคมนั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นมาหลายปีแล้ว สำหรับปีนี้มองว่าอาจจะยังเป็นไปได้ยาก ทำให้กลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่มีการเบิกจ่ายประกันสังคมอย่าง BCH, CHG, RJH มีการรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 4 ลดลง ด้านกลยุทธ์ แนะนำ “หลีกเลี่ยงการลงทุนในระยะสั้น”
ขณะที่ นายสุวัฒน์ วัฒนพรพรหม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส หรือ ASP กล่าวทิ้งท้ายว่า สาเหตุหลักประการหนึ่งที่กดดันให้หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงนี้ เกิดจากแรงกดดันที่มาจากความตึงเครียดใน 2 ปัจจัยหลัก คือ ความกังวลในเรื่องความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อฐานลูกค้าชาวตะวันออกกลางที่เป็นกลุ่มลูกค้าระดับสูง มีกำลังทรัพย์ในการใช้จ่าย และเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของโรงพยาบาลเอกชนที่มีสัดส่วนเข้ามารักษาในประเทศไทย ทำให้รายได้ที่มีเข้ามาต่อเนื่องต้องหยุดชะงัก โดยเฉพาะลูกค้าหลักของ BDMS และ BH ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันออกกลางจำนวนมาก