ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า จากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทำให้ภาพการชะลอตัวของผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 1 ปีนี้ยังไม่ใช่จุดที่ต่ำสุดของปีนี้ เพราะยังคงมีผลกระทบเพิ่มเติมการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ผู้ประกอบการ SMEs และรายย่อย ซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ที่จะถึงนี้ โดยคาดการณ์ในเบื้องต้นว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2563 จะลดลงมากกว่า 50% YoY เพราะธนาคารพาณิชย์ยังคงเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียวอยู่ แม้จะได้รับการผ่อนภาระทางการเงินบางส่วนลงจากการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF)
นอกจากนี้ มาตรการพักหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยกับสินเชื่อ SMEs และรายย่อยในกรอบประมาณ 3-6 เดือน น่าจะทำให้รายได้ดอกเบี้ยรับตั้งแต่ในไตรมาส 2 ลดลงตามขนาดของสินเชื่อที่เข้าร่วมโครงการ ยกตัวอย่างเช่น การเลื่อนกำหนดชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยออกไปเป็นการทั่วไปสำหรับ SMEs ที่เป็นลูกหนี้ปกติที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท จะมีผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของรายได้ดอกเบี้ยรับเฉลี่ยในแต่ละไตรมาส นอกจากนี้ยังมีผลจากการพักชำระหนี้จากพอร์ตสินเชื่ออื่นๆ และรายได้ดอกเบี้ยรับที่จะต่ำลงจากการปล่อย Soft Loan ตามโครงการที่ร่วมมือกับภาครัฐ นั่นหมายความว่า แม้สินเชื่ออาจจะยังไม่หดตัวในระยะอันใกล้ แต่ก็จะไม่สร้างรายได้ดอกเบี้ยรับตามสภาวะที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม การผ่อนปรนมาตรการจัดชั้นหนี้ของ ธปท.น่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการไหลตกชั้นของสินเชื่อมาสู่สินเชื่อด้อยคุณภาพที่จะมีผลต่อเนื่องมายังค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ แต่เพื่อเป็นการรับมือกับคุณภาพสินเชื่อในเชิงรุก คาดว่าธนาคารพาณิชย์ไทยหลายแห่งอาจยังคงมีแนวทางการตั้งสำรองในเชิงรุกต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่ามีความสามารถที่เพียงพอในการรองรับปัญหาคุณภาพหนี้ในปีถัดๆ ไป โดยเฉพาะเมื่อสิ้นสุดมาตรการผ่อนปรนของ ธปท. ซึ่งปัจจัยนี้เองจะเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่กดดันผลประกอบการของระบบธนาคารในช่วงครึ่งปีหลัง และอาจทำให้แม้ว่าการประคองผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 จะมีความท้าทายกว่าไตรมาสแรก แต่อาจยังไม่ใช่จุดต่ำสุดของผลประกอบการในปีนี้เช่นกัน เช่นเดียวกับการติดตามปัจจัยด้านการควบคุมการระบาดของไวรัส COVID-19 ว่าจะยืดเยื้อออกไปเพียงใด ซึ่งจะมีผลต่อรายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารทั้งรายได้จากการปล่อยสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียม
ก่อนหน้านี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินกำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทยในไตรมาส 1 ปี 2563 จะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ไตรมาส โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2563 จะอยู่ที่ 3.79-3.95 หมื่นล้านบาท (ประเมินจากข้อมูลตามมาตรฐานบัญชีเดิม ก่อน TFRS9) ลดลงประมาณ 25-28% YoY เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2562 โดยเป็นผลมาจากฐานเปรียบเทียบที่สูงของช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีการบันทึกรายการกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุน และกำไรจากการดำเนินงานที่ลดลงในอัตราตัวเลขสองหลัก ทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม แม้กำไรของระบบ ธ.พ.ไทยจะลดลง แต่เงินกองทุนของระบบธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง และมีอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (LCR) ที่สูงถึง 175.28%
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่ลดลงในไตรมาสแรก หลักๆ เป็นผลมาจากการปรับตัวลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิตามการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในไตรมาสแรก ขณะที่ภาพรวมสินเชื่อยังคงประคองการเติบโตไว้ในระดับต่ำ โดยคาดว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะหดตัวลงประมาณ 4.5-5.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าประมาณ 1.0-1.5% ซึ่งจะมีผลกดดันต่อเนื่องต่ออัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) ให้มีแนวโน้มชะลอลงมาที่ 2.67-2.70% จากระดับ 2.74% ในไตรมาสที่ 4/2562
ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของระบบธนาคารพาณิชย์ (NPL Ratio) ในไตรมาส 1 มีโอกาสขยับขึ้นมาที่ 3.25-3.45% ต่อสินเชื่อรวมของระบบ จากระดับ 2.98% ในไตรมาส 4 ปี 2562 ซึ่งทำให้ประเมินว่าในไตรมาสแรกของปี 2563 ธนาคารพาณิชย์จะยังคงมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อ (Credit Cost) อยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 1.50%