ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินกำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทยในไตรมาส 1/2563 จะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ไตรมาส โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/2563 จะอยู่ที่ 3.79-3.95 หมื่นล้านบาท (ประเมินจากข้อมูลตามมาตรฐานบัญชีเดิม ก่อน TFRS9) ลดลงประมาณ 25-28% YoY เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2562 โดยเป็นผลมาจากฐานเปรียบเทียบที่สูงของช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีการบันทึกรายการกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุน และกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profits) ที่ลดลงในอัตราตัวเลข 2 หลัก ทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ แม้กำไรของระบบ ธ.พ. ไทยจะลดลง แต่เงินกองทุนของระบบธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง และมีอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (LCR) ที่สูงถึง 175.28%
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่ลดลงในไตรมาสแรก หลักๆ เป็นผลมาจากการปรับตัวลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิตามการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในไตรมาส 1/2563 ขณะที่ภาพรวมสินเชื่อยังคงประคองการเติบโตไว้ในระดับต่ำ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะหดตัวลงประมาณ 4.5-5.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าประมาณ 1.0-1.5% ซึ่งจะมีผลกดดันต่อเนื่องต่ออัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) ให้มีแนวโน้มชะลอลงมาที่ 2.67-2.70% จากระดับ 2.74% ในไตรมาสที่ 4/2562
ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ คาดว่าจะชะลอลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันมาอยู่ที่กรอบประมาณ 4.27-4.29% (จาก 4.38% และ 4.49% ในไตรมาส 4 และไตรมาส 3 ของปี 2562 ตามลำดับ) ขณะที่สินเชื่อในไตรมาสแรกเติบโตในระดับต่ำตามสัญญาณการเบิกใช้สินเชื่อระยะสั้นเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน และการเติบโตของสินเชื่อรายย่อยบางประเภท (ก่อนช่วงการระบาดของไวรัส COVID-19) โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าสินเชื่อระบบ ธ.พ.ไทย ไตรมาส 1/2563 จะขยายตัวในกรอบประมาณ 2.2-2.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (เทียบกับ 2.3% ในช่วงปลายปี 2562)
นอกจากนี้ แรงกดดันต่อแนวโน้มธุรกิจและเศรษฐกิจในภาพรวม ยังมีผลต่อเนื่องมาที่ประเด็นคุณภาพหนี้ โดยเฉพาะ SMEs และลูกค้าในพอร์ตรายย่อย เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของระบบธนาคารพาณิชย์ (NPL Ratio) ในไตรมาส 1/2563 มีโอกาสขยับขึ้นมาที่ 3.25-3.45% ต่อสินเชื่อรวมของระบบธ.พ.ไทย และสาขา ธ.พ.ต่างประเทศ จากระดับ 2.98% ในไตรมาส 4/2562 ซึ่งทำให้ประเมินว่า ในไตรมาสแรกของปี 2563 ธนาคารพาณิชย์จะยังคงมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อ (Credit Cost) อยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 1.50%
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทำให้ภาพการชะลอตัวของผลประกอบการในไตรมาส 1/2563 ยังไม่ใช่จุดที่ต่ำสุดของปีนี้ เพราะยังคงมีผลกระทบเพิ่มเติมการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ผู้ประกอบการ SMEs และรายย่อย ซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2/2563
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ในเบื้องต้นว่า กำไรสุทธิไตรมาส 2/2563 จะลดลงมากกว่า 50% YoY เพราะธนาคารพาณิชย์ยังคงเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียวอยู่ แม้จะได้รับการผ่อนภาระทางการเงินบางส่วนลงจากการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) นอกจากนี้ มาตรการพักหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยกับสินเชื่อ SMEs และรายย่อยในกรอบประมาณ 3-6 เดือน น่าจะทำให้รายได้ดอกเบี้ยรับตั้งแต่ในไตรมาส 2/2563 ลดลงตามขนาดของสินเชื่อที่เข้าร่วมโครงการ ยกตัวอย่างเช่น การเลื่อนกำหนดชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยออกไปเป็นการทั่วไปสำหรับ SMEs ที่เป็นลูกหนี้ปกติที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท จะมีผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของรายได้ดอกเบี้ยรับเฉลี่ยในแต่ละไตรมาส นอกจากนี้ ยังมีผลจากการพักชำระหนี้จากพอร์ตสินเชื่ออื่นๆ และรายได้ดอกเบี้ยรับที่จะต่ำลงจากการปล่อย Soft Loan ตามโครงการที่ร่วมมือกับภาครัฐ นั่นหมายความว่า แม้สินเชื่ออาจจะยังไม่หดตัวในระยะอันใกล้ แต่ก็จะไม่สร้างรายได้ดอกเบี้ยรับตามสภาวะที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม การผ่อนปรนมาตรการจัดชั้นหนี้ของ ธปท. น่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการไหลตกชั้นของสินเชื่อมาสู่สินเชื่อด้อยคุณภาพที่จะมีผลต่อเนื่องมายังค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ แต่เพื่อเป็นการรับมือกับคุณภาพสินเชื่อในเชิงรุก คาดว่า ธ.พ. ไทยหลายแห่งอาจยังคงมีแนวทางการตั้งสำรองในเชิงรุกต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่ามีความสามารถที่เพียงพอในการรองรับปัญหาคุณภาพหนี้ในปีถัดๆ ไป โดยเฉพาะเมื่อสิ้นสุดมาตรการผ่อนปรนของ ธปท. ซึ่งปัจจัยนี้เองจะเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่กดดันผลประกอบการของระบบ ธ.พ. ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง และอาจทำให้แม้ว่าการประคองผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2563 จะมีความท้าทายกว่าไตรมาสแรก แต่อาจยังไม่ใช่จุดต่ำสุดของผลประกอบการในปีนี้เช่นกัน เช่นเดียวกับการติดตามปัจจัยด้านการควบคุมการระบาดของไวรัส COVID-19 ว่าจะยืดเยื้อออกไปเพียงใด ซึ่งจะมีผลต่อรายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารทั้งรายได้จากการปล่อยสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียม
กระนั้นก็ดี ด้วยฐานทุนที่เข้มแข็ง โดยอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง หรือ BIS Ratio ณ สิ้นปี 2562 อยู่ที่ 19.3% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด อัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ NPL Coverage Ratio ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 ก็คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงที่กว่า 134% สถานะสภาพคล่องที่อยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึงการบริหารความเสี่ยงที่ระมัดระวัง ทำให้คาดว่าระบบ ธ.พ. ไทยสามารถรับมือต่อภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในรอบนี้ และยังคงยืนหยัดในการทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงิน และการช่วยเหลือลูกค้าให้ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกันได้