โบรกฯ มองหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับปัจจัยพื้นฐานของการครองชีพได้รับผลดีจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ อย่าง CPALL, CPF, BJC และ MAKRO ซึ่งมีความได้เปรียบกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ต้องปิดกิจการชั่วคราว เพราะคนยังต้องบริโภคอาหารและมีสาขาจำนวนมาก อีกทั้งจำหน่ายสินค้าหลากหลายที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน
โนมูระฯ มองผลดีต่อตลาดหุ้นระยะสั้น
นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัท โนมูระ พัฒนสิน จำกัด ประเมินว่า การประกาศเคอร์ฟิวจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นระยะสั้น ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนจะต้องติดตามข้อกำหนดต่างๆ ที่จะเข้มข้นขึ้น โดยหลังจากที่รัฐบาลประกาศยกระดับมาตรการเข้มงวดในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมานักลงทุนรับรู้ข่าวไปแล้ว และมองว่าหากยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดี หรือมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ก็จะมีมาตรการเข้มงวดและรัดกุมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนคาดหวัง คือหากประกาศเคอร์ฟิวแล้วจะมีข้อกำหนดอะไรบ้าง รวมถึงการยกระดับการควบคุมโรคในขั้นถัดไปด้วย
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนยังแนะนำ หุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับปัจจัยพื้นฐานของการครองชีพ โดยตอบรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ได้แก่ CPALL, CPF ซึ่งมีความได้เปรียบกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ จากที่หุ้นกลุ่มอื่นต้องปิดกิจการชั่วคราว และคนยังต้องบริโภคอาหารอยู่และมีสาขาจำนวนมากและจำหน่ายสินค้าหลากหลายที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เป็นต้น
บล.ทรีนีตี้เชื่อดีต่อตลาดหุ้น-หนุน CPALL-MAKRO-BJC
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้มองว่า ยิ่งมาตรการเคอร์ฟิวถูกนำมาใช้เร็วเท่าไหร่ จะยิ่งเป็นผลดีต่อ SET Index ในระยะยาวมากเท่านั้น และจะดียิ่งขึ้นถ้าเป็นมาตรการที่เข้มข้น กล่าวคือ ยิ่งระยะเวลาชั่วโมงห้ามออกนอกเคหสถานยาวนานเท่าไหร่จะยิ่งเป็นผลดีต่อ SET มากเท่านั้น - เหตุผลสำคัญก็คือ การจำกัดการสัญจรของผู้คนดังกล่าวจะเป็นการช่วยจำกัดกรอบการแพร่เชื้อของโรค COVID-19 ในประเทศ ซึ่งจะเป็นการร่นระยะเวลาจุด Peak ของปัญหาให้เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นได้ และนั่นย่อมหมายความว่าโอกาสที่เศรษฐกิจของไทยเราหรือ GDP นั้นจะปรับตัวทำจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ก็มีโอกาสสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมหมายถึงโอกาสที่ SET จะทำจุดต่ำสุดไปแล้วที่ระดับ 970 จุดในไตรมาสที่ 1 ก็จะมีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น อ้างอิงจากผลการศึกษาของเราในอดีตที่ว่า SET มักจะปรับตัวนำหน้าทั้ง GDP และประมาณการ EPS อยู่เป็นเวลา 1 ไตรมาสด้วยกัน
ขณะที่การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบคนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน มองว่าจะเป็นอานิสงส์เชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีกได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม Consumer staples เช่น CPALL, MAKRO, BJC โดยกลุ่มที่จำหน่ายสินค้าจำเป็นยังมีความปลอดภัย คือ MAKRO, CPALL ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดที่ยังเปิดทำการทุกสาขา โดยเฉพาะในช่วงปลายไตรมาส 1/2563 จนถึงต้นไตรมาส 2/2563 ซึ่งเป็นแรงหนุนให้ SSG เป็นบวก โดยเฉพาะ MAKRO คาดบวกได้ถึง 5-6% จากการกักตุนสินค้าของผู้บริโภคเพื่อเตรียมรับมือกับ C0VD-19 หากมีความรุนแรงขึ้น ส่วน CPALL ยังมีปัจจัยกดดันราคาหุ้นจากการดีลซื้อ TESCO จึงทำให้ MAKRO เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์โดยตรงและมีปัจจัยลบน้อยที่สุด (Median Consensus ที่ 37.50 บาท/หุ้น) ขณะที่ BJC บิ๊กซีเปิดปกติ การปิดพื้นที่เช่ากระทบรายได้เพียง 1%
บล.กสิกรไทยมองเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น
นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด ให้มุมมองต่อคำสั่งประกาศเคอร์ฟิวของนายกรัฐมนตรีว่า จากคำสั่งประกาศเคอร์ฟิวของนายกรัฐมนตรีที่ประกาศห้ามออกจากบ้านทุกพื้นที่ทั่วประเทศตั้งแต่เวลา 22.00-04.00 น. ของวันที่ 3 เม.ย. มองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากการควบคุมไม่ให้ไวรัสโควิด-19 ลุกลามเป็นสิ่งที่ดี โดยมองว่าเป็นบวกในระยะกลาง-ยาวมากกว่า ขณะที่ภาพรวมหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์ดังกล่าว ได้แก่หุ้นกลุ่มค้าปลีกเช่น CPALL, BJC