จากโรคระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศจีนที่เป็นต้นขั้วของโรคดังกล่าว และลามมาถึงประเทศใกล้เคียงที่มีประชาชนเดินทางมาท่องเที่ยว อย่างที่ทราบกันดีว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 น่ากลัวตรงที่จะไม่ออกอาการมาทันทีแต่มีระยะเวลาฟักตัวถึง 14 วันจึงจะแสดงอาการ
อย่างไรก็ดี แม้จะมีมาตรการต่างๆ หรือจะป้องกันให้เต็มที่เพียงใดแต่ไวรัสตัวนี้ค่อนข้างป้องกันยาก เพราะจะผ่านการสัมผัสและหายใจใกล้ชิดกัน และในประเทศไทยเอง ตัวเลขของผู้ป่วยหลังจากนิ่งๆ มาระยะหนึ่ง ยอดผู้ป่วยพุ่งไปเกือบ 200 คน นั่นหมายถึงการระบาดลุกลาม ทำให้หลายคนวิตกกังวลมากขึ้น เพราะตัวเลขที่เพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงการแพร่กระจายมีมากขึ้นตามลำดับ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ป้องกันได้คือการไม่ไปในที่พลุกพล่าน รับประทานอาหารที่ปรุงเอง ดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงหันไปกักตุนของกินและอื่นๆ เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน อาหาร เครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวสาร ปลากระป๋อง อาหารแห้ง รวมถึงกระดาษชำระ และผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาด จากห้างค้าปลีกโมเดิร์นเทรดมาสต๊อกไว้จำนวนมากเกินกว่าปกติ จนทำให้หลายห้างสินค้าหมดไปจากชั้นวาง ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นและกลายเป็นว่าแย่งกันซื้อเพื่อตุนไว้ในบ้านตนเอง
ดังนั้น เมื่อโรคระบาดแพร่กระจายอย่างไม่หยุดยั้ง คนเราล้วนหาวิธีป้องกันตัวเอง สิ่งแรกที่ทำได้ง่ายๆ คือคนเราต้องอยู่ห่างกัน ไม่อยู่ในที่แออัดเพื่อป้องกันในการติดหรือรับเชื้อและป้องกันไม่ให้ไปรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย "อาหาร" คือสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษยชาติ อุตสาหกรรมอาหารกลายเป็นพระเอกในเวลานี้ และบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่ผลิตอาหารในทุกรูปแบบได้รับอานิสงส์จากวิกฤตไวรัสระบาดในครั้งนี้
กลุ่มบริษัทซีพีเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีธุรกิจหลักคืออาหารและการเกษตรผ่านทางบริษัทลูกอย่าง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF ซึ่งมีรายรับปีหนึ่งๆ หลายพันล้านบาท ภายใต้ปณิธานการเป็น “ครัวของโลก”
การผลิตอาหารแปรรูปเพื่อจำหน่ายถือเป็นความได้เปรียบทางการตลาดอย่างหนึ่ง ของบริษัท เพราะต้องยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งของตลาดคงจะไม่ผิด และยิ่งในสภาวะที่ไวรัสระบาดผู้บริโภคหันไปซื้อแบบ Delivery แทน ตลอดจนการซื้ออาหารแปรรูปเพื่อตุนไว้เป็นเสบียง โดยไม่จำเป็นต้องออกนอกบ้าน กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องใส่ใจเพราะไม่ต้องการเดินทางออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น CPF จึงได้รับผลดีเต็มๆ อีกทั้งการขายสินค้าผ่านช่องทางของบริษัทในเครือเดียวกันอย่าง ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น หรือแม้แต่ห้างเทสโก้ โลตัส ที่เพิ่งเข้าไปซื้อมา กลายเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยในการระบายสินค้า
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPFกล่าวว่า การระบาดของไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ในฟาร์มไก่ที่เมืองเชาหยาง มณฑลหูหนานของจีนเมื่อเดือนก่อน ไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจไก่ของบริษัท เพราะมีสัดส่วน 2% ของยอดขายรวม และโรคไข้หวัดนกมีการระบาดในประเทศจีนมากกว่า 10 ปีแล้ว และเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ทำให้รัฐบาลจีนมีประสบการณ์และอนุญาตให้ใช้วัคซีนได้ ตลอดจนยังมีการจัดการป้องกันโรคและการกำจัดซากสัตว์ตามมาตรฐานสากล ช่วยให้การควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“เนื้อไก่จากประเทศไทยยังมีโอกาสส่งออกไปยังประเทศจีนอีกมาก เนื่องจากความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 ไทยมีการส่งออกเนื้อไก่ไปจีน 70,000 ตัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 150,000 ตันในปีนี้ เพราะจีนจะอนุมัติโรงงานของไทยเพิ่มขึ้นอีก จากสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้จีนมุ่งเน้นปรับปรุงภาคการผลิตอาหารเพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารของประชาชนมากขึ้น”
ขณะเดียวกัน ธุรกิจสุกรยังได้รับผลดีจากระดับราคาที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม กัมพูชา ลาว และไทย ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้ยอดขายปี 2563 ของ CPF สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 600,000 ล้านบาท
ซื้อเทสโก้ โลตัสเพิ่มช่องทางจำหน่าย
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าวว่า บริษัทมีความสนใจในการเข้าร่วมลงทุนในเทสโก้เอเชีย เนื่องจากเป็นการต่อยอด Value Chain ของช่องทางการขายสินค้าของบริษัททั้งในประเทศไทยและประเทศมาเลเซียและเป็นการเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายให้แก่ผู้บริโภค ด้วยซีพีเอฟมีแนวทางในการปรับรูปแบบของการค้าเนื้อสัตว์ให้ผ่านช่องทางที่ทันสมัยสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคมากขึ้น บริษัทจึงมั่นใจว่าการลงทุนในครั้งนี้เป็นโอกาสดีในการที่จะทำให้ผู้บริโภคในประเทศไทยและมาเลเซียมีทางเลือกในการบริโภคเพิ่มขึ้นในตลาดที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว
การเข้าร่วมลงทุนครั้งนี้ทำให้ยอดขายทั้งของเทสโก้และ CPF เพิ่มมากขึ้น และเนื่องจากเทสโก้เอเชียเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารและทีมงานมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เชื่อว่าการผนึกกำลังกับเทสโก้เอเชียน่าจะส่งผลเสริมให้ผลการดำเนินงานที่ดีอยู่แล้วนั้นดียิ่งขึ้นได้อีก
ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือนมีนาคมปีนี้ดีลการเข้าซื้อกิจการห้างเทสโก้ โลตัส ของกลุ่ม “เจริญโภคภัณฑ์” หรือ CP ซึ่งเป็นการซื้อกิจการบริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ Tesco Stores ของประเทศ Malaysia ด้วยมูลค่าการซื้อขายประมาณ 3.38 แสนล้านบาท แบ่งสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 3 สาย คือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และหุ้นในสัดส่วน 40%, 40% และ 20% ตามลำดับ
ดังนั้น หมายถึงในส่วนของ CPF จะใช้เงินลงทุน 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.79 หมื่นล้านบาทในการซื้อกิจการของโลตัสครั้งนี้ โดยเชื่อว่าจะส่งผลประโยชน์ทำให้ยอดขายทั้งของเทสโก้และ CPF เพิ่มมากขึ้น และเนื่องจากเทสโก้เอเชียเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการผนึกกำลังกับเทสโก้ เอเชีย น่าจะส่งผลเสริมให้ผลการดำเนินงานที่ดีอยู่แล้วนั้นดียิ่งขึ้นได้อีก
เพราะปัจจุบันเทสโก้ในไทยมีร้านค้ารูปแบบไฮเปอร์มาร์เกต 214 สาขา ตลาดโลตัส 179 สาขา และ Tesco Express 1,574 สาขา และให้เช่าพื้นที่ในศูนย์การค้า 191 สาขา ส่วนเทสโก้ในประเทศมาเลเซีย มีไฮเปอรมาร์เกต 46 สาขา ซูเปอร์มาร์เกต 13 สาขา และร้านค้าขนาดเล็ก 9 สาขา และยังประกอบธุรกิจให้เช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าจำนวน 56 สาขา โดยให้บริการลูกค้ากว่า 15 ล้านคนต่อสัปดาห์ ผ่านทั้งช่องทางที่เป็นออฟไลน์ (สาขา) และออนไลน์ นั่นจึงจะเป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าของ CPF โดยเฉพาะอาหารสดผ่านช่องทางเทสโก้เพิ่มขึ้นอีกมาก
ขณะที่ผลประกอบการของเทสโก้ในไทยปี 2560 รายได้ 2.18 แสนล้านบาท กำไรสุทธิ 9.11 พันล้านบาท ปี 2561 รายได้อยู่ที่ 1.96 แสนล้านบาท ลดลง 10% กำไรสุทธิ 9.62 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% ขณะที่ปี 2562 รายได้ 1.88 แสนล้านบาท ลดลงอีก 4% กำไรสุทธิ 7.81 พันล้านบาท ลดลง 19% ขณะที่เทสโก้มาเลเซียนั้นปี 2562 ยังมีผลขาดทุนอยู่ 339 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี การซื้อกิจการครั้งนี้ CPF มีกระแสเงินสดจากธุรกิจ 40,608 ล้านบาท เงินสดในมือ 32,094 ล้านบาท มีหนี้สินชำระภายใน 1ปี 42,727 ล้านบาท มี D/E 2.47 เท่า
CPF ทุ่มหมื่นล้านซื้อหุ้นคืน 400 ล้านหุ้น
เช้าวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ราคาหุ้น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.55% หรือ 1 บาท อยู่ที่ 23 บาททันที หลังจากบริษัทแจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ครั้งที่ 3/2563 มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) วงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท จำนวนหุ้นซื้อคืน 400 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 4.65% ของจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนต่อจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วหรือคิดเป็น 25 บาท/หุ้น กำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-30 ก.ย. 2563
ทั้งนี้ งบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2562 บริษัทมีกำไรสะสมจำนวน 53,294 ล้านบาท ซึ่งการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้มีประสิทธิภาพ
สำหรับการซื้อหุ้นคืนดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อผู้ถือหุ้น คือ จะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผลสูงขึ้นเพราะหุ้นที่ CPF ซื้อคืนจะไม่ได้รับเงินปันผล และส่งผลบวกให้ ROE สูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ CPF มีเงินสดในงบเฉพาะกิจการ ณ สิ้นปี 2562 เท่ากับ 1.1 พันล้านบาท และ CPF แจ้งว่าได้คาดการณ์ CFO ในงวดครึ่งแรกของปี 63 อยู่ที่ราว 2.7 หมื่นล้านบาท เพียงพอต่อโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งนี้
ขณะที่วานนี้ราคาหุ้นเปิดเทรดช่วงเช้าที่ 20.50 บาท และปิดตลาดช่วงเช้าที่ 21.20 บาท มูลค่าซื้อขาย 674.19 ล้านบาท