นักลงทุนบางคนถามว่า ตอนนี้สายเกินไปหรือไม่ที่จะเข้าไปซื้อหุ้น บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เพราะราคาหุ้นวิ่งมาไกลมาก จนกลัวว่าจะซื้อแพงเกินไป
ราคาหุ้น BAM แพงแล้วหรือยัง ขึ้นอยู่กับมุมมองขอวแต่ละคน โดยราคาปิดล่าสุดที่ 31.25 บาท และเป็นราคาสูงสุดใหม่ นับจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 เมื่อเทียบกับค่า พี/อี เรโช ระดับ 14.91 เท่า ขณะที่ค่า พี/อี เรโชเฉลี่ยของตลาดที่ 18.42 เท่า นับว่าหุ้นตัวนี้ไม่แพงเกินไปนัก
แต่สิ่งที่นักลงทุนกังวลคือ ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมาม้วนเดียว นับจากเข้ามาเคาะซื้อขาย จากราคาจอง 17.50 บาท ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 13.75 บาท หรือปรับตัวขึ้นมา 78.57% และ เป็นหุ้นน้องใหม่ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 2 ปี
BAM เข้ามาซื้อขายในช่วงตลาดหุ้นซบเซา จนเกือบเอาตัวไม่รอด โดยซื้อขายวันแรกปิดที่ราคาจองหรือ 17.50 บาท แต่เมื่อซื้อขายวันที่ 2 หรือวันที่ 17 ธันวาคม 2562 ก็ไปไม่รอด ราคาทรุดลงมาปิดที่ 17.30 บาท ต่ำกว่าจอง 20 สตางค์ แต่หลังจากนั้น ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
แม้จะพักปรับฐานบ้าง แต่ก็ลงในช่วงสั้นๆ วันสองวัน ก่อนจะวิ่งต่อ
และเป็นขาขึ้นตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ราคาปิดสร้างจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่มีข่าวดีสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม
มีแต่ความคาดหมายว่า แนวโน้มผลประกอบการจะเติบโตอย่างสดใส และธุรกิจที่ซบเซา ปัญหาหนี้เสียที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะส่งผลดีต่อการดำเนินงาน ในฐานะบริษัทที่ประมูลหนี้จากสถาบันการเงินมาบริหารจัดการ
ผลประกอบการ BAM ปี 2561 มีกำไรสุทธิ 5,202.02 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปี 2562 มีกำไรสุทธิ 4,882.29 ล้านบาท โดยราคาหุ้นที่ยังพุ่งแรง ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความคาดหมายว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2562 จะออกมาสดใส นักลงทุนจึงช้อนซื้อดักทำกำไร
หุ้นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เป็นหุ้นน้องใหม่ที่โดดเด่นที่สุดในรอบ 3 ปี เพราะราคาหุ้นเป็นช่วงขาขึ้นมาตลอด เพิ่งจะพักฐาน เนื่องจากผลกระทบวิกฤตไวรัสโคโรนา ส่วน BAM กำลังเดินตามรอย GULF โดยรักษาทิศทางขาขึ้นมาประมาณ 2 เดือนแล้ว
เพียงแต่ ปัจจัยพื้นฐานระหว่าง GULF กับ BAM ต่างกัน เพราะราคาหุ้น GULF เป็นราคาที่ซื้อกันที่อนาคต บนความคาดหมายว่า ผลประกอบการจะเติบโตสูงต่อเนื่อง นักลงทุนจึงกล้าเล่นกันที่ค่า พี/อี เรโช ระดับ 90 เท่า
แต่ BAM มีค่าพี/อี เรโช ไม่ถึง 15 เท่า ปัจจัยพื้นฐานรองรับจึงแน่นหนากว่า และถ้าผลประกอบการไม่เติบโตสูง จะไม่กระทบต่อราคาหุ้นเท่าไหร่ แตกต่างจากหุ้นที่ค่า พี/อี เรโชสูง และนักลงทุนซื้อหุ้นบนความคาดหวังการเติบโตในอนาคต
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่เข้าไปเก็บหุ้น BAM มีความคาดหวังกับผลประกอบการในอนาคตเหมือนกัน แต่ใครจะบอกได้ว่า ผลประกอบการในอนาคตจะดีขนาดไหน
เพราะแม้จะได้รับผลดีจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ เพราะจะมีหนี้ที่จะประมูลมาบริหารจัดการมากขึ้น แต่การบริหารสินทรัพย์ในยามที่กำลังซื้อถดถอยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จึงไม่ควรจะมองโลกสวย และตั้งความคาดหมายกับแนวโน้มผลประกอบการ BAM สูงเกินไป
ราคาหุ้น BAM เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานไม่ถือว่าแพงนัก แต่การวิ่ง “มาราธอน” มา 2 เดือน ทำให้นักลงทุนหวั่นไหวในความแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่มีหุ้นตัวไหนขึ้นได้ตลอดกาล ถึงจุดหนึ่งต้องพักปรับฐานเหมือนกัน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเวลาพักของ BAM จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เท่านั้น และงบไตรมาสที่ 4 ออกมาจะกระตุ้นให้วิ่งเตลิดไปอีกหรือไม่