ตลาดหุ้นยังไม่คึก เหตุไวรัสโคโรนาระบาดต่อเนื่อง นักลงทุนยังคงผวาเบรคลงทุน ขณะที่โรงแรมและสายการบินรับกระทบเต็มสูบ เพราะผู้คนทั่วโลกไม่เดินทาง ไม่ท่องเที่ยว สวนทางกลุ่มโรงพยาบาลรับผลดี เพราะประชาชนห่วงสุขภาพ โบรกเกอร์มองโรงพยาบาลเป็นบวก จากการเพิ่มค่าหัวประกันสังคมและประสานเสียงเชียร์ BDMS ชี้การเร่งขยายเครือข่ายของโรงพยาบาลในกลุ่ม ขณะปัจจุบันเป็นช่วงที่เริ่มเพิ่มอัตราการใช้บริการ และโครงการหนุนการเติบโต ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ปรับขึ้น ผลงานไตรมาส 4 กำไรทะยาน
ความกังวลเรื่องสุขภาพในสถานการณ์ปัจจุบัน เริ่มทำให้มนุษย์อย่างเราเรามีความกังวลมากขึ้น ทั้งจากกรณีฝุ่น PM 2.5 ที่สูงในหลายพื้นที่ จนเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพต่อทุกชีวิต และนานวันเริ่มหนักขึ้น กระทั่งรัฐต้องประกาศให้ปิดโรงเรียน 473 แห่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ไม่นานข่าวของโรคไวรัสโคโรนา ที่กำลังคร่าชีวิตและระบาดหนัก กระแสความหวาดกลัวและการป้องกันโรคดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หน้ากากอนามัย เจลล้างมือและอื่นๆ ที่เป็นการป้องกันเบื้องต้น น่าจะเป็นทางเลือกแรกๆที่คนเราต้องป้องกันตัวเองเพื่อรักษาชีวิตให้รอดพ้น
การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างให้ความสนใจและติดตามสถานการณ์ที่เกี่ยงข้องอย่างใกล้ชิด โดยยังคงเห็นความพยายามของภาครัฐฯ ในการช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัว จากล่าสุด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว 31 ม.ค. นี้ อาทิ มาตรการฟรีวีซ่าแก่ นักท่องเที่ยวจีนและอินเดียหรือขอขยายเวลามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival : VoA) ไปจนถึงสิ้นปี 2563
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ความรู้สึกของคนเราเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาเพราะไม่ว่าใคร ต่างตระหนกและหวาดหวั่นต่อเชื้อโรคดดังกล่าว เพราะยิ่งนานวันเข้า การระบาดของโรคด้วยการมีผู้ติดเชื้อก็มีมากขึ้นรวมทั้งตัวเลขผู้ป่วยและเสียชีวิต ทุกประเทศหาทางป้องกัน และออกประกาศให้ประชาชนใส่ใจต่อการป้องกันโรคร้ายนี้ แต่ทว่าสำหรับความรู้สีกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่เรียกความเชื่อมั่นได้ยากพอสมควรในโมงยามนี้
แม้แต่ตลาดหุ้นเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะหลังจากจีนประกาศว่า เชื้อร้ายสายพันธุ์ใหม่ “โคโรนา” สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ ซ้ำร้ายคือมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อร้ายเพิ่มขึ้น โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทรุดลงกว่า 150 จุด เมื่อตรวจพบว่า ชาวสหรัฐที่เดินทางกลับจากเมืองอู่ฮั่นของจีน ติดเชื้อไวรัสโคโรนา และ ความกลัวเชื้อโรคร้าย ทำให้นักท่องเที่ยวระงับการเดินทาง ทุกคนพยายามป้องกันตัวเอง โดยอยู่แต่ในบ้าน หลีกเลี่ยงที่ชุมชน สายการบินถูกกระทบ โรงแรมถูกยกเลิกการจอง สนามบินมีลูกค้าใช้บริการน้อยลง ธุรกิจทั่วโลกซบเซาลง หุ้นทั่วโลกจึงทรุดฮวบเพราะพิษเชื้อร้ายไวรัสสายพันธุ์ใหม่
ดังนั้น หุ้นที่มีผลบวกและผลลบโดยตรงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หุ้นสายการบินและโรงแรมดูเหมือนจะเป็นสายตรงที่จะได้รับผลลบจากโรคระบาดดังกล่าว ขณะเดียวกันก็มีหุ้นอีกหลายกลุ่มที่จะได้รับผลบวกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคงหนีไม่พ้นหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลทั้งหลาย
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ซึ่ง ที่มีเครือข่าย รพ. ครอบคลุมทั่วประเทศมีโอกาสได้ประโยชน์มากสุด เช่นเดียวกับ การระบาดที่เริ่มขยายวงกว้างมากขึ้นที่น่าจะสร้างผลบวกมากกว่าผลกระทบ เนื่องจากกรณี BDMS มีฐานลูกค้าจีนราว 1% และโบรกเกอร์หลายแห่งประเมินกันไว้ว่า BDMS ถูกยกให้เป็นหุ้นที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม เพราะ BDMS ผ่านพ้นช่วงการลงทุนใหญ่มาแล้ว ต่อจากนี้จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลกำไร อีกทั้งระยะสั้นยังได้อานิสงส์จากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนาทั้งนี้ หากเทียบสถิติกับช่วงการแพร่ระบาดของโรคซาร์ในปี 2546 กลุ่มโรคพยาบาลเป็นกลุ่มที่โดยเด่น (Outperform) ตลาดมากที่สุด
บท วิเคราะห์ บล.เคจีไอ คาดการณ์ผลกระทบจากไวรัส โคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ต่อตลาดและรายอุตสาหกรรม ว่า ข้อเท็จจริงจากการระบาดของโรค SARS เมื่อปี 2546 ใช้เวลานานถึงเกือบ 7 เดือนตั้งแต่เริ่มมีผู้ติดเชื้อ โรค SARS จน WHO ประกาศอย่างเป็นทางการว่าสามารถควบคุมการระบาดได้ ซึ่งมองว่าการระบาดของโรค SARS เมื่อ 17 ปีที่แล้วเป็นสถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเทียบเคียงกับสถานการณ์การระบาดของ Coronavirus ในปัจจุบัน เพื่อที่จะได้ใช้ในการประเมินระยะเวลาการระบาด และผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งครั้งนั้นมีการรายงานการพบผู้ป่วยโรค SARS รายแรกในจีนเมื่อปลายเดือนพ.ย. 2545 จากนั้นก็เริ่มพบผู้ป่วยรายแรกในสหรัฐในวันที่ 10 ก.พ.2546 หลังจากนั้นก็ใช้เวลาอีกถึงประมาณ 5 เดือนกว่าที่ WHO จะประกาศอย่างเป็นทางการว่าสามารถควบคุมการระบาดของโรค SARS ได้เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2546
ส่วนในกรณีของ Coronavirus นั้น พบผู้ป่วยรายแรกในจีนเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2562 และพบผู้ป่วยนอกประเทศ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้น และช่วงเวลาที่ตลาดน่าจะถึงจุดต่ำสุด - จากสถิติตอนที่โรค SARS ระบาด ถึงแม้จะใช้เวลานานถึง 5 เดือนหลังพบผู้ติดโรค SARS ในสหรัฐกว่าที่การระบาดจะสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ตลาดหุ้นตอบรับเร็วกว่านั้นมาก โดยในช่วงนั้น ดัชนี SET ลดต่ำลงจนถึงจุดต่ำสุดในเวลาหนึ่งเดือนหลังจากที่ปรากฏข่าวการติดเชื้อของคนที่อยู่นอกประเทศจีน และจากช่วงเวลาดังกล่าว คิดว่ากระแสข่าวเกี่ยวกับ Coronavirus น่าจะเร่งตัวขึ้นในระยะสั้น และกดดันตลาดหุ้น เนื่องจากมีการพบผู้ติดเชื้อ Coronavirus นอกประเทศจีนในช่วงกลางเดือน ม.ค. ตลาดหุ้นจึงน่าจะถึงจุดต่ำสุดในช่วงกลางเดือน ก.พ.นี้
บล.บัวหลวง หรือ BLS มองว่ากลุ่มโรงพยาบาลที่มักเป็นกลุ่มที่ Outperform ตลาด ในช่วงที่เกิดโรคระบาด BDMS คือหุ้นที่ยังคงโดดเด่นให้คำแนะนำจากการคาดการณ์กำไรหลักฟื้นตัวในปี 2563 และอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปีในระยะเวลา 3 ปีที่น่าสนใจ เชื่อว่าหุ้นถูกปรับ PER จาก 37 เท่าในปัจจุบัน ไปอยู่ที่ 40 เท่า ตามอัตรากำไรเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปีในระยะเวลา 3 ปี ที่แข็งแกร่ง เนื่องจากสิ้นสุดยุคของการลงทุนอย่างหนักแล้ว ยังคงแนะนำ "ซื้อ" และข้อมูลในอดีตพบว่านักลงทุนจะเปลี่ยนมาลงทุนในกลุ่มหุ้น Defensive เช่น กลุ่มการแพทย์ในช่วงที่มีความไม่แน่นอน BDMS ได้ปรับตัวโดดเด่นกว่า SET ในช่วงเวลาดังกล่าว ลำดับแรก ในวันที่ 2 พ.ย. 2545 จนถึงวันที่ 4 มี.ค. 2546 (ตลาดกังวลก่อนช่วงการบุกอิรักของสหรัฐ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2546) ดัชนีการแพทย์เพิ่มขึ้น 23% และราคาหุ้น BDMS 32% ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนของ SET 4% หลังจากการระบาดของโรค MERS (ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2558) ราคาหุ้น BDMS ปรับตัวขึ้น 8% ในระยะเวลา 4 สัปดาห์ ในขณะที่ SET ปรับตัวลดลง 0.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งราคา BDMS เมื่อ4 ก.พ.ที่ผ่านมาพบบว่าปิดที่ 25.00 บาท คาดลงมาตามกรอบแนวรับที่ 24 บาท ก่อนรีบาวด์ แนะนำให้วางแผนเข้าซื้อ จึงคงแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมายปี 2563 ที่ 29.00 บาท