xs
xsm
sm
md
lg

‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ ดึง“แจลลุกซ์” บริหาร“วาลเด้น” 4 โครงการ เจาะลูกค้าญี่ปุ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


(ซ้าย)  นายชนินทร์ วานิชวงศ์ , (ขวา)มิสเตอร์มาซาชิ ฮิกุจิ
‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ พร้อมยกระดับการให้บริการลูกค้าคอนโดมิเนียมสู่มาตรฐานสากล คว้า ‘เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์’ ผู้นำด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ภายใต้บริษัท แจลลุกซ์ อิงค์ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีประสบการณ์มานานกว่า 30 ปี เข้าบริหารโครงการภายใต้แบรนด์ ‘วาลเด้น’ (Walden) ทั้ง 4 โครงการบนทำเลซีบีดี โดยปัจจุบัน เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ บริหารจัดการที่อยู่อาศัยมากกว่า 30 แห่งในญี่ปุ่น พร้อมตั้งเป้าขยายตลาดครอบคลุมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใน 3 ปี

นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมเพื่อการลงทุนของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายพัฒนาโครงการ และการบริการเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเพื่อการลงทุน และอยู่อาศัยระดับลักชัวรี ซึ่งมีความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่าง และการเพิ่มมูลค่าราคาตลาด (Market Value) ในการลงทุนให้แก่ผู้อาศัยในอนาคต รวมถึงการยกระดับมาตรฐานการบริการที่มากขึ้น

ฮาบิแทท กรุ๊ป จึงได้ร่วมมือกับ เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ (JRE Development) หนึ่งในบริษัทผู้นำด้านการบริหารโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัยและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ที่บริหารจัดการหลายแห่ง โดยความร่วมมือในครั้งนี้ เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ จะเข้ามาบริหารโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรีภายใต้แบรนด์ ‘วาลเด้น’ ของฮาบิแทท กรุ๊ป ทั้งหมด 4 โครงการ ใน 3 ทำเลคุณภาพ ได้แก่ วาลเด้น ทองหล่อ 8 วาลเด้น ทองหล่อ 13 วาลเด้น สุขุมวิท 39 และวาลเด้น อโศก สร้างมาตรฐานการบริการให้แก่โครงการคอนโดมิเนียมของฮาบิแทท กรุ๊ป เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้อเพื่อการลงทุน และผู้อยู่อาศัย


"การดึง เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ เข้ามาเป็นพันธมิตรในการบริหารจัดการโครงการภายใต้แบรนด์ วาลเด้น ในครั้งนี้ เพราะเจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่มีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าชาวญี่ปุ่น ซึ่งโครงการวาลเด้น มีลูกค้าเป้าหมายที่จะเช่าส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น ประมาณ 80% นอกจากนี้ การบริหารโครงการโดยบริษัทมืออาชีพจะทำให้ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อโครงการภายใต้แบรนด์ วาลเด้น ทั้ง 4 โครงการ เชื่อมั่นและไว้วางใจในการบริการที่มีมาตรฐานระดับสากล สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้อยู่ศัย และนักลงทุนได้เป็นอย่างดี รวมถึงราคาสินทรัพย์ในอนาคตจะมีมูลค่ามากขึ้น" นายชนินทร์ กล่าว

อย่างไรก็ดีไม่ว่าลูกค้าที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อการลงทุน หรือซื้อเพื่ออยู่อาศัยนั้น ก็มีความต้องการผู้บริหารจัดการดูแลโครงการ โดยเฉพาะโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา พบว่า ซัปพลายมีมากเกินกว่านักลงทุนและผู้เช่า ทำให้ผู้ที่เคยลงทุนซื้ออสังหาฯ ในรุงเทพฯ ไม่สามารถปล่อยเช่าได้ทั้งหมด คือปล่อยเช่าได้เพียง 60-70% และได้รับผลตอบแทนเพียง 3% เท่านั้น


ด้าน มิสเตอร์มาซาชิ ฮิกุจิ ประธานบริหาร บริษัท เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้นำด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ภายใต้บริษัท แจลลุกซ์ อิงค์ ​(JALUX Inc.) ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า โครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 วาลเด้น ทองหล่อ 13 วาลเด้น สุขุมวิท 39 และวาลเด้น อโศก เป็น 4 โครงการแรกที่บริษัทฯ ได้เข้าบริหารโครงการในประเทศไทย

“เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการโครงการให้แก่บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำอย่าง ฮาบิแทท กรุ๊ป เราพร้อมนำประสบการณ์ด้านการเป็นผู้พัฒนาโครงการ และบริหารอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี มาสู่การบริหารโครงการในครั้งนี้ด้วยแน่นอน และจากประสบการณ์ด้านพร็อพเพอร์ตี้ แมนเนจเมนต์ โดยเฉพาะการบริหารโครงการที่อยู่อาศัย ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา กับผลงานกว่า 30 โปรเจกต์ที่รับบริหารและจัดการ ซึ่งประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 95% ขึ้นไป เราจึงวางแผนการขยายธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่นออกสู่ต่างประเทศ โดยตัดสินใจเลือกไทยเป็นประเทศแรก ก่อนที่จะใช้โมเดลความสำเร็จในไทย ขยายตลาดต่อไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” มิสเตอร์ฮิกุจิ กล่าว

ส่วนการเลือกเข้ามาขยายธุรกิจในไทยก่อนนั้น เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสของตลาดอสังหาฯ ในไทยเติบโต รวมทั้งมีกลุ่มคนญี่ปุ่นที่อาศัยในประเทศไทย (Expat) อยู่จำนวนมากถึง 70,000 คน โดยได้เปิดบริษัท เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เมื่อปี 2558 ทุนจดทะเบียน 28 ล้านบาท โดย แจลุกซ์ เอเชีย จำกัด ถือหุ้น 98% แจลุกซ์ เอเชีย เซอร์วิส 1% และแจลุกซ์ RECRUITMENT ASIA ถือหุ้นในสัดส่วน 1%


“อย่างไรก็ดี เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ คาดการณ์ว่า ในอีก 5 ปีนับจากนี้ จะมีบริษัทญี่ปุ่นเข้ามาทำธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพนักงานที่ได้รับเงินจากบริษัทแม่ 50,000-60,000 บาทต่อเดือน ย่อมต้องการคอนโดมิเนียมที่มีการบริการดี โดยชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมและเลือกพักอาศัยในโซนเอกมัย ทองหล่อ แต่ก็อาจมีบ้างที่จะมีชาวญี่ปุ่นหลุดไปอยู่โซนอ่อนนุช ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีกำลังเงินน้อย จึงนับเป็นโอกาสในการขยายตลาดในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ จากการให้บริการและจัดการของบริษัทฯ ในตลาดปัจจุบัน พบว่า ยังไม่มีผู้ประกอบการไหนที่ให้บริการในรูปแบบเดียวกันนี้ โดยบริษัทฯ จะให้ความสำคัญต่อความต้องการของลูกค้า เริ่มจากศึกษาบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ถึงงบประมาณที่จัดสรรให้แก่พนักงานในการหาที่พักอาศัย จากนั้นเราจึงมากำหนดราคา โดยจะเห็นได้ว่ากลุ่มชาวต่างชาติเป้าหมายที่มีงบประมาณค่าใช้จ่ายเรื่องที่พักอาศัยประมาณ 60,000 บาทต่อเดือน อยู่ในฐานราคาที่มีความต้องการอย่างมากทั้งในตลาดปัจจุบันและในอนาคต”

โดยจุดเด่นของการให้บริการภายในโครงการจะกำหนดมาตรฐานเอาไว้ 2 อย่าง ได้แก่ 1.Standard Menu of L’axe ซึ่งเป็นบริการพื้นฐาน เช่น แม่บ้านดูแลความสะอาด จำนวน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ไวไฟ Japanese TV Standard รับไมล์สะสมกับสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ ​(JAL) 1% ของค่าเช่าได้ทุกเดือน เจ้าหน้าที่ที่สื่อสารภาษาญี่ปุ่นคอยอำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง 2.L’axe Cafeteria Plan บริการเพิ่มเติมเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยสามารถเพิ่มการรับบริการให้ตรงกับงบประมาณที่จัดสรรไว้ได้ เช่น แม่บ้าน และการบริการซักรีด แบบแพกเกจรายเดือนในราคาพิเศษ รถรับส่งสนามบิน กรมธรรม์ประกันภัย (Tenants liability Insurance)
กำลังโหลดความคิดเห็น